แม้ว่า อาร์เซน่อล จะมีเกมรับที่เหนียวแน่นที่สุด แต่พวกเขายิงประตูได้น้อยกว่า ลิเวอร์พูล ถึง 17 ลูกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ดังนั้นในซีซั่นนี้ "ปืนใหญ่" จำเป็นยกระดับฟอร์มการเล่นเกมรุกให้ดีขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ตอนนี้ทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง โดยพวกเขาเพียงไปแค่ 3 ประตูจากการเล่น 8 เกมในลีก ที่สำคัญในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ คาราบาว คัพ ทีมก็ยังไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่าแนวรับของ อาร์เซน่อล ยังคงสร้างผลงานได้น่าประทับใจ
ถ้าหากทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" รักษามาตรฐานความเหนียวแน่นได้แบบนี้ต่อไป ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องยิงประตูให้เยอะๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์ก็ได้ !!
แน่นอนว่าเกมรับที่แข็งแกร่งถือเป็นเรื่องดี เพราะแม้เกมรุกของ อาร์เซน่อล จะดีกว่าฤดูกาลที่แล้วเล็กน้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากช่วงที่พวกเขามีลุ้นแชมป์ลีกเมื่อฤดูกาล 2023/24 ซึ่งทีมมีค่าเฉลี่ยในการทำประตูอยู่ที่ 2.4 ประตูต่อเกม
การที่ มาร์ติน โอเดอการ์ด, โนนี่ มาดูเอเก้, กาเบรียล เชซุส และ ไค ฮาแวร์ตซ์ ซึ่งนักเตะเหล่านี้เป็นแข้งสร้างสรรค์เกม ต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บ นั่นทำให้แนวรุกของทัพ "ปืนใหญ่" อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก
กระนั้นหากพวกเขาเหล่านั้นหายเจ็บกกลับมา แต่ทีมยังไม่สามารถยกระดับเกมรุกให้ดีขึ้นได้ แล้วการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นของ อาร์เซน่อล จะเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้ชูโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 ได้หรือไม่ ?
จากสถิติสโมสรที่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตลอด 33 ซีซั่นที่ผ่านมา มีเพียงแค่ 6 สโมสรเท่านั้นที่คว้าแชมป์ลีกด้วยการเสียประตูน้อยที่สุดแต่ไม่ได้ทำประตูมากที่สุด
สโมสรล่าสุดที่ประสบความสำเร็จในลักษณะนี้คือ ลิเวอร์พูล ในยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อซีซั่น 2019/20 ซึ่งสามารถคว้าแชมป์ลีกหลังรอคอยมานาน 30 ปี ทั้งๆ ที่พวกเขาทำประตูได้น้อยกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 17 ประตู จากทั้งหมด 102 ประตูในฤดูกาลนั้นก็ตาม
กระนั้น อาร์เซน่อล ที่มีเกมรับดีที่สุดจาก 2 ฤดูกาลหลังสุด แต่พวกเขากลับจบซีซั่นในตำแหน่งรองแชมป์ ดังนั้นซีซั่น 2025/26 อาจแตกต่างไป ?
แม้ว่าจะเพิ่งอยู่ในช่วงต้นฤดูกาล แต่สิ่งที่แฟนบอลเห็นไม่ใช่แค่การที่ อาร์เซน่อล มีแนวรับที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เท่านั้น แต่พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่มีเกมรับที่เหนียวแน่นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในพรีเมียร์ลีกด้วย
อัตราการเสียประตูเฉลี่ยเพียง 0.38 ประตูต่อเกมของพวกเขาในตอนนี้หมายความว่าหากรักษาระดับนี้ตลอดทั้งฤดูกาล ทัพ "ปืนใหญ่" จะเสียประตูเพียง 14 ลูกเท่านั้น และจะแซงสถิติอันเหลือเชื่อที่ เชลซี ในยุค โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน เคยทำไว้ในฤดูกาลคว้าแชมป์ 2004/05 ซึ่งเสียเพียง 15 ประตู
ในความเป็นจริง หากคงอัตราการทำประตูเฉลี่ย 1.88 ประตูต่อเกมในปัจจุบัน ทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า มีแนวโน้มที่จะสะท้อนความยอดเยี่ยมของ เชลซี ในอดีตได้อย่างใกล้เคียง โดยอาจทำประตูได้ 71 ลูกและเสียเพียง 14 ประตู เทียบกับสถิติของ "สิงโตน้ำเงินคราม" ที่ทำได้ 72 ประตูและเสีย 15 ประตู
นั่นหมายความว่า อาร์เซน่อล จะทำประตูได้มากขึ้นอีก 2 ประตูจาก 69 ลูกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่เสียประตูน้อยลงอย่างน่าทึ่งถึง 20 ประตู จาก 34 ลูกเมื่อซีซั่น 2024/25
เนื่องจากโดยเฉลี่ยแล้วทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มักทำประตูได้ 84 ลูกและเสีย 32 ประตู จากทั้งหมด 38 เกม โดยฟอร์มปัจจุบันของ อาร์เซน่อล จะทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งและยากจะเอาชนะได้
อย่างไรก็ตาม แม้ อาร์เซน่อล จะโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจ แต่การเทียบกับแนวรับอันแข็งแกร่งของ เชลซี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ก็จะเป็นงานที่ยากยิ่งเหมือนกับภารกิจเข็นครกขึ้นภูเขาสำหรับ อาร์เตต้า แอนด์ โค.
เริ่มแรก พวกเขาจำเป็นต้องเก็บคลีนชีตใน 3 เกมถัดไปในการพบกับ คริสตัล พาเลซ, เบิร์นลี่ย์ และซันเดอร์แลนด์ เพียงเพื่อให้เทียบเท่ากับจำนวน 3 ประตูที่ เชลซี เสียหลังผ่าน 11 เกม
ไม่เพียงเท่านั้น เหตุผลสำคัญที่ทีมของมูรินโญ่ เสียเพียง 15 ประตูในฤดูกาลนั้นก็เพราะว่า หลังจากเสีย 2 ประตูในเกมเสมอ 2-2 อาร์เซน่อล เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2004 พวกเขาไม่เสียประตูเพิ่มอีกเลยในลีกจนกระทั่งวันที่ 5 มีนาคม 2005 ในเกมชนะนอริช 3-1
นั่นหมายความว่า เชลซี เสียประตูเพียง 8 ลูกจากการเล่น 27 เกม !!!
ช่วงเวลาที่ เชลซี เก็บคลีนชีตต่อเนื่องในลีก 10 เกมติดต่อกันนั้นได้สร้างสถิติเอาไว้ในเวลานั้น แต่ภายหลังถูกทำลายโดย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำได้ 14 เกมต่อเนื่องในฤดูกาล 2008/09
ขณะเดียวกันในช่วงระหว่างวันที่ 31 มกราคม - 31 มีนาคม 1998 อาร์เซน่อลไม่เสียประตูเลย 8 เกมติดต่อกัน และนั่นนำไปสู่การผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกภายใต้การคุมทีมของอาร์แซน เวนเกอร์
ในบางจุด อาร์เซน่อล ในยุคของ อาร์เตต้า มีแนวโน้มที่จะทำสถิติเทียบเท่า หรืออาจจะทำลายสถิติในช่วงเวลานั้นได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือทีมต้องพึ่งพาเกมรับเป็นหลักเพื่อนำไปสู่ชัยชนะที่รอคอยในเดือนพฤษภาคม !!
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄