เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...
1. วันก่อนมีข่าวใหญ่ เมื่อหัวหอกของ INEOS อย่าง เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ถูกสัมภาษณ์เรื่องผู้จัดการทีมปีศาจแดงคนปัจจุบัน โดยหล่นคำตอบหนักแน่นว่าจะให้เวลา รูเบน อโมริม 3 ปี !!!
'เพราะฟุตบอลไม่ใช่เรื่องชั่วข้ามคืน'
อืมมมมมม...นะ
2. เรื่องการให้ 'เวลา' ผู้จัดการทีมนั้นเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ มันก็เหมือนสุภาษิต 'กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียว' นั่นแหละ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าต้องให้เวลาผู้จัดการทีม ก่อนจะตัดสินอะไร ทว่า 12 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่หลังยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน - แมนยูไนเต็ด ให้เวลากุนซือแต่ละคน ไม่เคยเกินคนละ 3 ปี
เดวิด มอยส์ ได้เวลาแค่ 8 เดือน
หลุยส์ ฟาน กัล ได้เวลาแค่ 2 ปี
โชเซ่ มูรินโญ่ ได้เวลา 2 ปีครึ่ง
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เวลา 2 ปี 11 เดือน
เอริค เทน ฮาก ได้เวลา 2 ปี 3 เดือน
ผมว่า 'เฮียจิ๋ม' พยายามจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ที่เหมือนจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของ แมนยูไนเต็ด ไปแล้ว คือเอะอะอะไรก็ปลดออก
3. รูเบน อโมริม เพิ่งคุมทีมได้ 11 เดือนเท่านั้นเอง
ดังฉะนั้นถ้าด่วนตัดสินใจปลดออกจากตำแหน่งตอนผลงานห่วยแตหเหมือนกุนซือคนก่อนๆ มันก็คงไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ คือแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ แล้วพอคุมทีมไปได้สักปี 2 ปี โดยประมาณ ก็มักมีอันต้องถูกปลดออก
ว่าแล้วต้องให้เวลากุนซือหนุ่มผู้นี้สร้างทีมแบบเต็มๆ ตามปรัชญาลูกหนังของตัวเองเหมือนที่บรมกุนซืออย่างท่านพระยาหมื่นเฟอร์กี้เคยได้รับ
ลองนึกดูนะครับว่าถ้าตอนโน้น เบื้องบนตัดสินใจตะเพิด อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ออกจากตำแหน่ง หลังคุมทีมได้ 2-3 ปี บนความกระท่อนกระแท่น
แมนยูไนเต็ด คงไม่มีทางยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ผมมั่นใจว่า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ คิดแบบนี้แน่
4. ว่าแล้วอยากให้ทุกคนย้อนชมผลงานการคุมปีศาจแดงในช่วงแรกๆ ของคุณป๋า ก่อนจะทะยานไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก
1986/87 ที่เข้ามาแทน รอน แอตกินสัน ในเดือนพฤศจิกายน 86 - แมนยูไนเต็ด จบอันดับ 11
1987/88 - จบอันดับ 2 ก็จริง แต่ไม่ได้ลุ้นแชมป์อะไรนะ เพราะถูก ลิเวอร์พูล ทิ้งห่าง 9 แต้ม
1988/89 - ถอยกลับไปอันดับ 11 อีกครั้ง
1989/90 - อันดับ 13 จนกุนซือสก๊อตต์ล่อแหลมต่อการถูกไล่ออก แต่ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ มาช่วยชีวิตเอาไว้อย่างหวุดหวิด
1990/91 - กระโดดขึ้นมาอันดับ 6 และต่อยอดด้วยแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ
1991/92 - ลุ้นแชมป์แบบจริงๆ จังๆ แถมยังนำเป็นจ่าฝูงมาครึ่งค่อนฤดูกาล ก่อนแหกโค้งชนเสาไฟฟ้าคอหักตายคาที่ โดยเข้าป้ายเป็นที่ 2 และได้แชมป์ ลีก คัพ มาปลอบใจ
เห็นไหมครับว่า 3 ฤดูกาลแรก แมนยูไนเต็ด จากการทำงานของ 'เฟอร์กี้' เหมือนรถไฟเหาะตีลังกา (11-2-11) กระทั่งฤดูกาลที่ 4 ถ้าไม่มีแชมป์ เอฟเอ คัพ มาช่วยไว้ ป๋าแกโดนถีบออกจากตำแหน่งแน่นอน เพราะอันดับ 13 มันทุเรศเกินไป
แต่เพราะเบื้องบนปีศาจแดงไม่ด่วนใจร้อนพลางให้เวลากุนซือชาวสก๊อตแลนด์ ทีมที่ป๋าแกสร้างเริ่มแผลงฤทธิ์ในฤดูกาลที่ 5 (อันดับ 6) และฤดูกาลที่ 6 (อันดับ 2) ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จในฤดูกาลที่ 7 ของการคุมทีม !!!
5. เข้าใจว่าท่านเจ้าพระยาจิมคงคิดแบบนี้
เพียงแต่ตอนโน้นกับตอนนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คือ ณ ตอนโน้นไม่มีใครคาดหวังว่า แมนยูไนเต็ด จะต้องได้ลุ้นแชมป์ลีกสูงสุด หรือคว้าแชมป์
พลพรรคปีศาจแดงจะเล่นดีหรือเล่นห่วยอย่างไร ถ้าคุณไม่ได้ไปดูที่สนาม คุณก็ไม่เห็น เพราะไม่มีการถ่ายทอดสดให้ดูทุกนัดเหมือนสมัยนี้
แฟนบอลเสพผลงาน และข่าวสารของสโมสรผ่านทางทีวี และสื่อกระดาษ
โลกโซเชี่ยลก็ยังไม่มี
ผิดกับสมัยนี้ที่เห็นแบบสดๆ ทุกนัดเลยว่าดีหรือแย่ ความคาดหวังสูง เพราะเคยตัวมาจากยุคเรืองอำนาจ ความกดดันจึงแตกต่างกันอย่างลิบลับ
ผมจึงเข้าใจ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ที่ยืนกรานอย่างแข็งกร้าวว่าจะให้เวลากุนซือคนปัจจุบัน 3 ปี แล้วค่อยประเมินกันใหม่ ด้วยคิดว่า รูเบน อโมริม อาจเจริญรอยตาม อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็...เป็น...ได้
เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็เช่นกัน ฤดูกาลแรกที่เข้ามาคุมหงส์แดงแทนที่ 'บี-ร๊อดส์' ในเดือนตุลาคม 2015 ลิเวอร์พูล จบอันดับ 8 ของตาราง
ฤดูกาล 2016/17 กับ 2017/18 ก็จบอันดับ 4 เท่ากันโดยยังไม่มีลุ้นแชมป์
เห็นไหมล่ะครับว่ามันต้องให้เวลาผู้จัดการทีม (รวมถึงอนุมัติงบประมาณเสริมทัพด้วย)
เพียงแต่ผมอยากบอก เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ว่า...
แค่ปีแรกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เขาก็เปลี่ยน ลิเวอร์พูล ให้เล่นฟุตบอลแบบ 'เฮฟวี่ เมทั่ล' อย่างชัดเจนมาก ก่อนจะทวีน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
เท่านี้แหละที่อยากจะบอก !!