3 นัดที่ผ่านมาได้ปิดฉากแค่ความพ่ายแพ้ แต่มันเปิดคำถามที่ตามมาคือ ลิเวอร์พูล ที่ตั้งใจจะอัปเกรดให้ดีกว่าเดิม กำลังหลงทิศจริงหรือไม่ ?
ภายใต้ระบบของเฮดโค้ชอาร์เน่อ อยากเป็นทีมที่ครองบอลเหนือคู่แข่ง เจาะโลว์บล็อกให้คมขึ้น ทว่าเมื่อพื้นฐานหลุด โครงสร้างที่สวยบนกระดาษกลับใช้การไม่ได้บนสนาม
การสร้างระบบใหม่ไม่เคยได้ผลในชั่วข้ามคืน โค้ชต้องการเวลาในการปลูกฝังแนวคิด แต่เมื่อความผิดพลาดเดิม ๆ เกิดซ้ำต่อเนื่อง คำถามจึงย้อนมาว่า "ปัญหาอยู่ที่ระบบ หรืออยู่ที่นักเตะ?"
คำตอบไม่มีแบบฟันธง เพราะมันเชื่อมโยงกันหมด ระบบที่หลวมทำให้นักเตะต้องดวลเสียเปรียบ นักเตะที่เสียพื้นฐานก็ทำให้ระบบล่ม
หน้าที่ของโค้ชไม่ใช่แค่สั่งการ แต่คือต้องพัฒนาให้ของที่มีอยู่แล้วดีขึ้น พาแข้งตัวท็อปไปยืนในจุดที่ถนัดที่สุด และป้องกันไม่ให้พลาดง่ายในจุดที่เจ็บที่สุด
เกมแพ้ เชลซี ส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ทีมแรกนับจาก อาร์เซน่อล 2004/05 ที่เสียสองประตูชัยในช่วงทดเจ็บสองเกมติด นั่นสะท้อนถึงสมาธิ และการจัดการช่วงเวลาสำคัญ
โคดี้ กัคโป คือเคสชัดเจน(ข้อมูลจาก FotMob) เขาถูกแย่งบอล 3, จ่ายพลาด 8/36, เปิดไม่เข้าเป้า 3/3, เลี้ยงผ่านสำเร็จ 2/3 แม้ยิงได้ แต่ฟอร์มโดยรวมสะท้อนภาพใหญ่กว่า ทีมกำลังแพ้การดวลทั่วสนาม
กัคโปชนะ 3/10 จังหวะบนพื้น
ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ชนะ 2/6
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และคอเนอร์ แบรดลีย์ แพ้ทั้งหมดใน 5 จังหวะที่เข้าแท็คเกิล
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องใจสู้หรือไม่สู้ แต่มันมาจาก มุมเข้าปะทะ, ความล้า, และคุณภาพคู่แข่งที่เผชิญหน้าในจังหวะนั้น ๆ
อย่าง เวียร์ตซ์ ที่ต้องชนกับ มอยเซส ไกเซโด้ ก็บอกคำตอบได้ระดับหนึ่ง ทว่าพอแพ้ดวลพร้อมกันทั้งทีมมันคือสัญญาณระบบหลวมที่สตาฟฟ์ต้องแก้ด่วน
หลังเกมบุกยำ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อปีก่อน อาร์เน่อ ย้ำชัดว่าเขาหลงใหลนักเตะที่เก่งโดยไม่ต้องมีบอล,ไล่เพรส
ฟุตบอล ลิเวอร์พูล เริ่มจากการชนะการดวล เมื่อวันนี้ดวลแพ้จำนวนมาก ผลพวงคือระบบเพรสหลวม, ระยะห่างไลน์แตก, จังหวะสวนของคู่แข่งก็สร้างความเสียหายได้ทันที
เมื่อควบคุมไม่ได้ ทุกอย่างพังเป็นโดมิโน
เมื่อแดนกลางกับแนวรุกไม่ต่อเนื่อง การพาบอลผ่านบล็อกแรกสะดุด นักเตะถูกบังคับให้ดวลในมุมเสียเปรียบ
เพรสซิ่ง ไม่พร้อมเพรียง ระยะกดดันไม่สัมพันธ์ ทำให้โดนแหวกหนึ่งครั้งแล้วต้องวิ่งไล่หอบกลับบ้าน
จับบอลแรกห่าง, จ่ายสั้นพลาด, ตัดสินใจช้า ทั้งหมดทำให้ความมั่นใจหด และยิ่งทำให้ช็อตต่อไปแยลงเป็นลูกโซ่
...
ตำแหน่งแบ็กขวายังเป็นคำถามใหญ่เมื่อไร้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
ตัวเลือกจำเป็นบ่อยครั้งทำให้ อาร์เน่อ ต้องโยกเอา โดมินิค โซโบซไล ไปยืนแบ็กขวา, กราเฟนแบร์ก ลงช่วยเซ็นเตอร์, ฝั่งซ้ายหมุนระหว่าง มิลอส เคอร์เคซ ที่ยังต้องเรียนรู้อีกมากกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ถูกจับหลุดตำแหน่งจนเสียประตูสำคัญ ผลคือโครงสร้างเกมรับตอนทีมกำลังบุกไม่มั่นคง (Rest Defense) พอโดนสวนทีละระลอก ความมั่นใจแนวรับยุบ
ปัญหาที่เห็นตอนนี้ ลิเวอร์พูล มี Rest Defense ไม่มั่นคง แบ็กทั้งสองข้างเติมสูงพร้อมกัน, มิดฟิลด์ไม่ปิดช่องเมื่อทีมเสียบอล, เซ็นเตอร์ต้องถอยลึกป้องกันคนเดียวบ่อย
ผลคือเสียจังหวะโต้กลับบ่อยมาก นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทีมดูเปราะ แม้จะครองบอลมากกว่าคู่แข่ง
ดีล 65.5 ล้านปอนด์ไป บาเยิร์น มิวนิค อาจสมเหตุสมผลเชิงธุรกิจ แต่ในสนาม ลิเวอร์พูล สูญเสียความพลิ้ว, แรงปะทะ, การดึงตัวประกบของ หลุยส์ ดิอาซ ไปทันที
ช่องว่างนั้นยังไม่ถูกอุด กัคโป ยังไม่ยกระดับต่อเนื่อง การหมุนระหว่าง อูโก้ เอกิติเก้ กับ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ทำให้จังหวะเกมรุกขาดความลื่นไหล
...
การสูญเสีย ดีโอโก้ โชต้า อย่างน่าเศร้าเมื่อกรกฎาคม คือเงาที่ทอดยาวเหนือห้องแต่งตัว
ความโศกเศร้าวัดด้วยตัวเลขไม่ได้ และเส้นทางฟื้นคืนไม่เป็นเส้นตรง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ พูดชัด นี่คือฤดูกาลที่ยากทั้งในและนอกสนาม
หน้าที่ของเขาคือรวบทีมให้แน่นในยามเสียงวิจารณ์ดังขึ้น และย้ำว่าระยะห่างบนตารางคะแนนยังไม่ใช่วิกฤติ
"เราต้องผ่านช่วงนี้ไปด้วยกัน… เมื่อกลับมาจากทีมชาติ เกมใหญ่กับ แมนยู รออยู่"
สองสัปดาห์นี้คือช่วงเวลาสำคัญของ อาร์เน่อ ในการปรับโครงสร้าง, ย้ำบทพื้นฐาน, ทำให้ทีมชนะการดวลกลับมาให้ได้ก่อน เพราะถ้าดวลชนะ, ระยะห่างจะกระชับ, เพรสจะเป็นจังหวะ และเกมรุกจะพาบอลเข้าสู่พื้นที่อันตรายได้บ่อยขึ้นเอง
ถ้าวันนี้ ลิเวอร์พูล ยังสับสน ให้เริ่มจากสิ่งเล็กที่สุดคือ ดวลชนะให้มากขึ้น, จ่ายง่ายให้แม่นขึ้น, ตัดสินใจเร็วในพื้นที่แดง พอพื้นฐานแน่น ระบบที่ อาร์เน่อ อยากเห็นจะค่อย ๆ โผล่พ้นน้ำ และทีมนี้จะกลับมายืนในโหมดน่าเกรงขามอย่างที่ควรเป็น
HOSSALONSO