สำหรับตอนนี้กุนซือที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดคงหนีไม่พ้น โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ เฮดโค้ชชาวออสเตรีย ที่นำ คริสตัล พาเลซ สร้างผลงานได้อย่างสุดยอด ด้วยระบบการเล่นหลังสามที่สุดแข็งแกร่ง
กลาสเนอร์ พัฒนาฝีมือการคุมทีมอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงที่กุมบังเหียนสโมสรโวล์ฟสบวร์ก และไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ซึ่งกับงานกับ "อินทรีแดงดำ" เขาสามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ก่อนจะออกมาหาความท้าทายใหม่กับ พาเลซ
การเข้ามาคุม "ดิ อีเกิ้ลส์" ช่วงต้นปี 2024 กุนซือวัย 51 ปี ตัดสินใจหักดิบเปลี่ยนระบบ 4-2-3-1 ที่ รอย ฮ็อดจ์สัน สร้างเอาไว้กับ พาเลซ ให้กลายเป็นระบบ 3-4-2-1 ที่เขาชื่นชอบ
อย่างไรก็ตามในช่วงแรกแท็กติกนี้ไม่เวิร์ก แต่เมื่อปรับโน้นปรับนี่และนักเตะปรับตัวได้แล้ว ทีมก็ผลงานติดลมบน และสามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา รวมทั้งคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ช่วงต้นซีซั่นนี้
กลาสเนอร์ เป็นโค้ชที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแท็กติกให้เข้ากับทีมของตัวเอง รวมทั้งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเขามักใช้ระบบ 3-4-2-1 โดยสามกองหลังจะได้รับการสนับสนุนจากมิดฟิลด์คู่กลาง
นายใหญ่ชาวออสเตรียใช้วิงแบ็กเพื่อสร้างเกมรุกบริเวณริมเส้น แต่ไม่ดันสูงเกินไป เพื่อให้สามารถถอยกลับมาช่วยเกมรับได้ทัน แม้บางครั้งจะปรับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 รูปแบบการเล่นก็ยังคล้ายๆ แบบเดิม เพราะฟูลแบ็กจะดันเกมสูง ขณะที่มิดฟิลด์จะขยับขึ้นไปทำหน้าที่เหมือนเพลย์เมกเกอร์
แม้ คริสตัล พาเลซ จะไม่ใช่ทีมที่บอลไดเร็กต์ หรือโยนยาว แต่พวกเขามักพยายามเคลื่อนบอลไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการเล่นแบบต่อบอลมากกว่าการเลี้ยงบอล เมื่อฤดูกาล 2024/25 พาเลซ อยู่ท้ายตารางในการพยายามเล่นด้วยการเลี้ยงบอลดวลแบบตัวต่อตัว และติดอันดับต่ำสุดสามอันดับในความพยายามส่งบอลระยะสั้นและกลาง
อย่างไรก็ตามพวกเขากลับอยู่อันดับ 8 ของพรีเมียร์ลีกในความพยายามส่งบอลยาว แม้จะมีอัตราความแม่นยำต่ำติดรองบ๊วย ที่เป็นแบบนี้เพราะ พาเลซ ใช้บอลยาวสร้างโอกาสในการกดดันคู่แข่ง สามารถสร้างความปั่นป่วนได้แม้ไม่สามารถส่งบอลลึกสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกก็ตาม
ช่วงเวลาที่ไม่ได้ครองบอล ทีมมักถอยไปตั้งรับในระบบ 5-2-3 หรือ 5-4-1 ขึ้นอยู่กับความลึกของการตั้งรับ พวกเขาจะกดดันคู่แข่งในหลายพื้นที่ โดยอาจะไม่ได้เข้มข้นมากนัก แต่ก็ไม่ปล่อยให้คู่แข่งสร้างเกมได้ง่ายๆ ส่วนกองหน้าสามคนจะพยายามลากคู่แข่งเข้าสู่กับดักที่เตรียมไว้ สำหรับมิดฟิลด์คู่กลางจะผลัดกันดันขึ้นไปปิดทางเข้าตรงกลางสนาม
ในระบบของกลาสเนอร์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ จังหวะเวลา ว่าควรกดดันเมื่อไหร่ และควรถอยกลับเพื่อดักเล่นคู่แข่งอย่างไร กระนั้นจุดสนใจหลักมักอยู่ที่กองหน้าซึ่งพยายามบีบคู่แข่งให้ต้องครองบอลออกไปด้านข้าง ทำให้แบ็กสามารถขึ้นมากดดันบริเวณริมเส้นโดยระบบนี้จะทำให้ผู้เล่นคนอื่นๆ ยังคงรักษาตำแหน่งของตัวเอง และไม่เสียรูปแบบการเล่น ขณะที่เซนเตอร์แบ็กสามารถตามประกบผู้เล่นคู่แข่งที่วิ่งเข้ามาต่อเนื่อง ส่วนกองหน้าจะคอยวิ่งไล่กดดันบอลที่คู่แข่งส่งกลับหลัง
หนึ่งในเอกลักษณ์ของการคุมทีมของกลาสเนอร์ คือความสามารถในการใช้จุดแข็งของผู้เล่นอย่างสร้างสรรค์ไม่ว่าตอนมีบอล หรือไม่มีบอลก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เขาเคยให้ ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า กองหน้า ถอยต่ำลงมาช่วยเกมรับ โดยใช้ความโดดเด่นในลูกกลางอากาศของเขามาเสริมแนวรับเมื่อคู่แข่งพยายามเปิดบอลยาวเข้าพื้นที่เขตโทษบ่อยครั้ง เป็นต้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนสำหรับระบบการเล่น และการบริหารจัดการของ กลาสเนอร์ ที่สร้าง พาเลซ ให้กลายเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นมาต่อกรกับทีมยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก รวมทั้งการลุยศึกยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ด้วย
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄