พาเลซ พบ ลิเวอร์พูล : 5 ประเด็นสำคัญหงส์เยือนเซลเฮิร์สต์ พาร์ค

1. เอกิติเก้ แบน 1 เกม

 เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วกรณีของ อูโก้ เอกิติเก้ ที่ต้องพลาดลงสนามในเกมเยือนถิ่น เซลเฮิร์ตส์ พาร์ค วันเสาร์นี้ หลังจากนักเตะโดนสองใบเหลืองเป็นใบแดงไล่ออกในแมตช์ชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-1 ศึกคาราบาว คัพ รอบสาม

  หากมองในมุมบวกการติดโทษแบนในเกมกับ พาเลซ ของ เอกิติเก้ ทำให้นักเตะได้พักฟื้นร่างกายอย่างเต็มที่ และได้ใช้เวลาทบทวนการกระทำของตัวเอง เพราะในช่วงกลางสัปดาห์หน้าเจ้าตัวคงได้กลับมาลงสนามให้ทีมในแมตช์พบ กาลาตาซาราย ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันอังคาร และตามด้วยเกมพบ เชลซี ช่วงสุดสัปดาห์

 ตอนนี้สามารถพูดได้เลยว่า กองหน้าอนาคตไกลชาวฝรั่งเศส คงไม่ทำพลาดแบบเดิมอีก หลังจากที่โดนเพื่อนร่วมทีมและ อาร์เน่อ สล็อต กุนซือชาวดัตช์ ว่ากล่าวตักเตือนอย่างหนักไปเรียบร้อยแล้ว 

2. เซลเฮิร์สต์ พาร์ค สนามแห่งความสุข

 การบุกไปเยือนถิ่น คริสตัล พาเลซ ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล มีสถิติค่อนข้างดีเลยทีเดียว เพราะพวกเขาเก็บชัยชนะ 9 และเสมอ 1 เกมจาก 10 แมตช์หลังสุดในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยเกมที่ไม่ได้ชนะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 

 นอกจากนี้ "หงส์แดง" ยิงประตูได้อย่างน้อย 2 ลูกใน 8 จาก 10 แมตช์หลังสุดในการออกไปเยือนเซลเฮิร์สต์ พาร์ค ในเกมลีก และมีเพียง 2 เกมจาก 24 นัดเท่านั้นในลีกที่พบกันทั้งเหย้าและเยือนโดยที่ทำประตูไม่ได้

 ยิ่งไปกว่านั้นทีมของกุนซืออาร์เน่อ สล็อต สามารถยิงได้ 5 ประตูใน 6 เกมลีกหลังสุด หลังจากที่พวกเขาตะบันไปถึง 25 ประตูใน 7 เกมลีกก่อนหน้านั้น 

 อย่างไรก็ตาม ทีมของกุนซือโอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ยังไม่แพ้ใคร 8 เกมลีกในบ้านตัวเอง (ชนะ 4 เสมอ 4) แม้ว่าสี่ในห้าเกมหลังสุดจะจบลงด้วยผลเสมอ นี่ถือเป็นสถิติไม่แพ้ใครนานที่สุดของพวกเขาที่ใน เซลเฮิร์สต์ พาร์ค รายการนี้

3. พาเลซ ไร้พ่าย 17 เกมในทุกรายการ

 ตอนนี้ต้องยอมรับว่านักเตะคริสตัล พาเลซ กำลังเต็มไปด้วยความมั่นใจ เนื่องจากพวกเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นติดต่อกัน 17 เกม โดยหนึ่งในสถิติเหล่านั้นคือการชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในชิง เอฟเอ คัพ และสอย ลิเวอร์พูล เกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์

 ผลงานไม่แพ้ใคร 8 เกมสุดท้ายของฤดูกาลที่ผ่าน (รวมรอบชิง เอฟเอ คัพ) และบวกเพิ่มอีก 9 แมตช์ในซีซั่น 2025/26 ทำให้ "ดิ อีเกิ้ลส์" ไร้พ่ายรวมทุกรายการ 17 แมตช์ ซึ่งหากไม่แพ้ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกวันเสาร์นี้ พวกเขาจะสร้างสถิติไร้พ่ายยาวนานสุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรเทียบเท่าที่เคยทำไว้ 18 นัดที่สิ้นสุดลงในเดือนสิงหาคม ปี 1969

 ที่สำคัญทัพ "ดิ อีเกิ้ลส์" สามารถเก็บได้ 9 คะแนนจาก 5 เกมแรกของฤดูกาลนี้ ทำให้พวกเขาพุ่งขึ้นมารั้งอันดับ 5 ตามหลัง อาร์เซน่อล ซึ่งอยู่ที่สองเพียง 1 คะแนน เท่านั้น ฉะนั้นการเอาชนะ "หงส์แดง" ในแมตช์นี้จึงเป็นแรงกระตุ้นสำหรับแข้งพาเลซอย่างมาก 

4. เวียร์ตซ์ ต้องยกระดับฟอร์ม, ซาลาห์ ของอีก 2 ตุงซัดครบ 250 ประตูให้หงส์แดง

 สถานการณ์ของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ค่อนข้างกดดันพอสมควร เพราะนักเตะยังไม่สามารถตอบแทนเม็ดเงินค่าตัวมหาศาลได้เลย โดย 5 แมตช์ในลีกที่ผ่านมา นักเตะไม่มีทั้งชื่อทำประตูและแอสซิสต์ จนโดนล้อเป็นเจ้าของสถิติ "005" ไปเรียบร้อยแล้ว

 ที่สำคัญหากเกมนี้ เวียร์ตซ์ ไม่สามารถสร้างสถิติให้กับตัวเองได้ นั่นทำให้เขาจะมีตัวเลขติดตัวเป็น "006" งานนี้ยิ่งทำให้เขากดดันมากขึ้น เพราะหากพลาดอีกแมตช์จะโดนตราหน้าว่าเป็นนักเตะ "007" (0 ประตู, 0 แอสซิสต์, 7 เกม) ทันที

 สวนทางกับ โม ซาลาห์ ที่แม้ฟอร์มจะไม่เปรี้ยงปร้างในฤดูกาลนี้ แต่ก็ยังมีแอสซิสต์และประตูให้เห็น โดยตอนนี้ "บังโม" ต้องการอีกแค่ 2 ประตูเท่านั้นก็จะทำให้เขาเพิ่มสถิติเป็นซัดครบ 250 ลูกในนามแข้ง "เดอะ เร้ดส์" ทุกรายการ 

5. ปรับเกมรับให้แกร่ง, เกมรุกต้องเฉียบคม

 ลิเวอร์พูล รู้ดีอยู่แล้วว่าการเยือน คริสตัล พาเลซ ไม่ง่ายแน่นอน แม้ชื่อชั้นและสถิติของพวกเขาจะเหนือกว่า แต่ผลงานของทีมยังขาดความคงเส้นคงวา ขณะที่ "ดิ อีเกิ้ลส์" ในยุคกลาสเนอร์ ก็มักจะโชว์ฟอร์มได้ดีเวลาเจอทีมใหญ่ ซึ่ง "หงส์แดง" โดนมาแล้วในเกมชิงโล่การกุศล !

  "หงส์แดง" ในฤดูกาลนี้ เสียประตูแทบทุกเกมในลีก มีแค่แมตช์ชนะ อาร์เซน่อล กับ เบิร์นลี่ย์ เท่านั้นที่ไม่โดนเจาะไข่แดง ดังนั้น โค้ชอาร์เน่อ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำชับลูกทีมให้เล่นด้วยฟอร์มที่มั่นคง ไม่แผ่วเหมือนกับหลายๆ เกมในช่วงที่ผ่านมา

 จุดเด่นของ ลิเวอร์พูล ก็คือการเล่นเกมรุกและการจบสกอร์ที่เฉียบคม แต่จุดด้อยของพวกเขาก็คือฟอร์มมักจะแผ่วไปดื้อๆ หลังจากขึ้นนำคู่แข่ง ดังนั้นสิ่งนี้ห้ามเกิดขึ้นในเกมกับ พาเลซ เด็ดขาด เพราะเจ้าบ้านมีจุดเด่นเรื่องเกมสวนกลับ หากขาดสมาธิหรือเล่นไม่รัดกุม มีสิทธิ์โดนกระซวกตาข่ายได้เลย

 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄