คริสตัล พาเลซ ภายใต้การกุมบังเหียนของ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่น่าจับตามองอย่างมาก โดย "ดิ อีเกิ้ลส์" มีลุ้นทำสถิติไม่แพ้ใครยาวนานที่สุดเทียบเท่ากับสถิติเดิมที่เคยทำเอาไว้ ที่สำคัญจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทีมชุดนี้อาจจะทำผลงานได้ดีเกินกว่าที่หลายคนคาดคิดด้วยซ้ำ
พาเลซ ไร้พ่าย 8 เกมสุดท้ายของฤดูกาลที่ผ่านมาซึ่งรวมทั้งแมตช์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ โดยทีมชุดนี้ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นได้อย่างโดดเด่นในช่วงออกสตาร์ทซีซั่น 2025/26 ด้วย
"ดิ อีเกิ้ลส์" ลงสนามไปแล้ว 9 แมตช์ในฤดูกาลนี้โดยที่ยังไม่แพ้ใครเลย นั่นหมายความว่าตอนนี้พวกเขาไม่พ่าย 17 เกมติดต่อกันในทุกรายการ หากไม่แพ้ ลิเวอร์พูล ซึ่งพวกเขาเอาชนะในการชิงโล่การกุศล คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในเกมพรีเมียร์ลีกวันเสาร์นี้ ทีมชุดนี้จะสร้างสถิติไร้พ่ายยาวนานสุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรเทียบเท่าที่เคยทำไว้ 18 นัด ซึ่งสิ้นสุดลงในเดือนสิงหาคม ปี 1969
นอกจากการแชมป์เอฟเอ คัพ แล้ว พาเลซ ผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบ ลีก เฟศ ซึ่งทำให้พวกเขาได้เล่นในรายการฟุตบอลถ้วยยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แถมตอนนี้ทีมทะลุรอบ 4 ศึกคาราบาว คัพ และรั้งอันดับ 5 ในตารางพรีเมียร์ลีก
แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ พาเลซ ภายใต้การคุมทัพของ กุนซือชาวออสเตรีย สร้างผลงานได้น่าประทับใจ จนกลายเป็นทีมม้ามืดที่มีลุ้นความสำเร็จทั้งในเกมฟุตบอลถ้วย และทำอันดับติดท็อปโฟร์
1. เกมรับแข็งแกร่ง
ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องดิ้นรนเพื่อทำให้แผงหลังสามคนของ รูเบน อโมริม ใช้งานได้ผล แต่ระบบ 3-4-2-1 ของ กลาสเนอร์ กลับมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับพาเลซ
สามเซนเตอร์แบ็กมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน มาร์ค เกฮี กัปตันทีม มีทั้งความเป็นผู้นำและความสามารถในการอ่านเกม ส่วน แม็กซ็องซ์ ลาครัวซ์ เต็มไปด้วยความว่องไว, รวดเร็ว และแย่งบอลเก่ง ส่วนทางขวา คริส ริชาร์ดส์ เต็มไปด้วยความมั่นใจโดยเฉพาะในความสามารถในการเอาชนะลูกกลางอากาศ
ริชาร์ดส์ โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมากๆ ในเกมกับ เวสต์แฮม โดยจัดการคุม คริสเซนซิโอ ซัมเมอร์วิลล์ อยู่หมัด ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่อันตรายได้เลย แม้นักเตะอาจจะไม่ได้โดดเด่นเทียบเท่ากับ เกฮี และ ลาครัวซ์ แต่เขาก็ทำงานร่วมกับทั้งสองได้อย่างลงตัว
เกมรับที่เหนียวแน่นแบบนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณที่ดีต่อโอกาสของ พาเลซ ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้
2. ดีน เฮนเดอร์สัน ฟอร์มเหนียวหนึบ
อีกหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ "ดิ อีเกิ้ลส์" ฟอร์มติดลมบนนั่นก็คือการที่พวกเขามีผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมอย่าง ดีน เฮนเดอร์สัน แม้เขาจะมีสถิติการเซฟเฉลี่ยเพียง 1.6 ครั้งต่อเกมในฤดูกาลนี้ (ต่ำเป็นอันดับสามในพรีเมียร์ลีก) แต่จังหวะเซฟสำคัญเจ้าตัวก็แทบไม่พลาด
กลาสเนอร์ มักเน้นย้ำเสมอว่าทุกอย่างเริ่มต้นจากเกมรับที่แข็งแกร่ง โดยเป้าหมายแรกก็คือการที่พวกเขาต้องทำให้คู่แข่งพบกับความยากลำบากในการเจาะตาข่าย และจากนั้นก็ค่อนใช้เกมสวนกลับที่มีประสิทธิภาพเล่นงาน
ทีมชุดนี้ใช้ประโยชน์จากความสามารถของผู้เล่นวิงแบ็ก และการวิ่งทะลุทลวงของ อิสไมล่า ซาร์ กองกลางตัวรุก ดังนั้นสิ่งนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าการมีนายทวารที่ดี และกองหลังที่แข็งแกร่ง ย่อมทำให้ทีมมีโอกาสสร้างเกมรุกที่อันตรายได้
3. ความคุ้นเคยและความสม่ำเสมอ
นี่คือรากฐานสำคัญของความสำเร็จของพาเลซ ส่วนใหญ่สิ่งที่พวกเขาทำเกิดจากการที่ กลาสเนอร์ ปลูกฝังแผนการเล่นที่ชัดเจน, ไว้วางใจนักเตะที่คุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเขา และให้ความสำคัญกับทีมมากกว่าความสำเร็จส่วนตัว
กลาสเนอร์ ไม่ลังเลที่จะดร็อปผู้เล่นคนใดก็ตาม หากการตัดสินใจของพวกเขาไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อทีมโดยรวม นอกจากนี้เขามักใช้ผู้เล่นชุดเดิมเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากทีมมีตัวเลือกจำกัด เพราะงบประมาณต่ำที่สุดในบรรดาทีมพรีเมียร์ลีกที่มีสถานะมั่นคง
แม้ว่าปัจจุบันจะมีมหาเศรษฐีชาวอเมริกันสามคน ได้แก่ เดวิด บลิตเซอร์, จอช แฮร์ริส และวูดดี้ จอห์นสัน เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็ตาม แต่สโมสรไม่ได้มีงบประมาณให้จับจ่ายใช้สอยอย่างเต็มอัตราศึกเหมือนกับหลายๆ ทีมในลีกเมืองผู้ดี
นักเตะแกนหลักของ "ดิ อีเกิ้ลส์" มักจะโดนโค้ชติวเข้มเพื่อดึงศักยภาพของพวกเขาออกมาให้เต็มที่ และยังพูดกระตุ้นให้นักเตะเหล่านั้นมีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถเอาชนะใครก็ได้ ซึ่งลูกทีมสามารถตอบสนองต่อความคิดเชิงบวกได้อย่างเหมาะสม
4. เสียแข้งหลักแค่คนเดียว
ในช่วงซัมเมอร์นี้ พาเลซ ตกอยู่ในสถานการณ์กดดันพอสมควร เพราะนักเตะที่เป็นแกนหลักของทีมอย่าง เอเบเรชี่ เอเซ่ กองกลางคนสำคัญ และ เกฮี ตกเป็นเป้าสนใจของสโมสรยักษ์ใหญ่เพื่อร่วมลีก
อาร์เซน่อล สามารถดึงตัว เอเซ่ ไปร่วมทัพได้สำเร็จด้วยค่าตัวเบื้องต้น 60 ล้านปอนด์ (ราว 2,640 ล้านบาท) แต่พวกเขาสามารถรั้งตัว เกฮี เอาไว้ได้ แม้เกือบจะเสียกัปตันทีมให้กับ ลิเวอร์พูล ในช่วงเดดไลน์ตลาดพ่อค้าแข้งซัมเมอร์นี้
แน่นอนว่าการไม่มี เอเซ่ ส่งผลต่อ พาเลซ ในตำแหน่งกองกลางตัวรุก กระนั้นเขาเป็นแข้งแกนหลักคนเดียวที่ออกจากถิ่นเซลเฮิร์ตซ์ พาร์ค ในขณะเดียวกับ กลาสเนอร์ ดึงผู้เล่นใหม่เข้ามาร่วมทีม 5 ราย โดยสองรายเป็นนักเตะตัวรุกอเนกประสงค์ซึ่งสามารถเติมเต็มตำแหน่งของ เอเซ่ ได้
5. หน้าเป้าฟอร์มดุดัน
ผลงานของ พาเลซ ที่โดดเด่นขนาดนี้ส่วนหนึ่งมาจากฟอร์มอันแสนร้อนแรงของ ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า ซึ่งต้องบอกว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงฟอร์มพีคสุดขีดในอาชีพเลยก็ว่าได้
ประตูแรกที่ตะบันใส่ เวสต์แฮม เป็นลูกที่ 50 ของ มาเตต้า ในการเล่นให้กับ "ดิ อีเกิ้ลส์" ในทุกรายการ ที่สำคัญ 34 ประตูจากทั้งหมด 68 เกมเกิดขึ้นภายใต้การทำงานร่วมกับ กลาสเนอร์
หัวหอกชาวฝรั่งเศส ซัดไป 30 ประตูในเกมลีกเมื่อสองฤดูกาลก่อนหน้านี้ แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การทำประตูเพียงอย่างเดียว เพราะนักเตะยกระดับในการครองบอลได้มากขึ้น จนทำให้เขากลายเป็นแกนหลักในการสร้างเกมบุกของทีม
แม้ มาเตต้า จะยังไม่ได้รับโอกาสถูก ฝรั่งเศส เรียกตัวติดทีมชุดใหญ่ แต่ฟอร์มการเล่นของนักเตะน่าสนใจมากๆ และแน่นอนว่านั่นทำให้หลายสโมสรทั้งในอังกฤษ และยุโรปจับตามองแข้งรายนี้