อาร์เตต้าไม่กล้าจริงหรือ

อาร์เตต้าไม่กล้าจริงหรือ
ในวันที่องค์ประกอบดีกว่าเดิม มันก็ยังยากที่จะตัดสินใจ

มิเกล อาร์เตต้า ถูกตั้งคำถามเรื่องความกล้า เกมล่าสุดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นักวิจารณ์อย่าง รอย คีน เจมี่ คาร์ราเกอร์ แกรี่ เนวิลล์ และอีกหลายคน พูดในทำนองเดียวกันว่าเสียดายแทนของดี ๆ ที่อาร์เตต้ามีอยู่

อาร์เซน่อล 2025/26 น่าจะเป็นทีมที่มีขุมกำลังดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำ ดูแค่เกมนี้ตัวจริงมี ดาบิด ราย่า, ยูร์เรียน ทิมเบอร์, วิลเลียม ซาลิบา, กาเบรียล มาร์กัลเญส, ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่, มาร์ติน ซูบิเมนดี, เดแคลน ไรซ์, มิเกล เมริโน่, โนนี่ มาดูเอเก้, เลอันโดร ทรอสซาร์, วิคตอร์ เยอเคเรส

ตัวสำรองมี เกปา อาร์ริซาบาลาก้า, คริสเตียน มอสเกร่า, เบน ไวท์, ไมล์ส ลูอิส-สเคลลี่, คริสเตียน นอร์การ์ด, อีธาน วาเนรี่, เอเบเรชี่ เอเซ่, บูกาโย่ ซาก้า, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่

คนที่ยังเจ็บมี มาร์ติน โอเดการ์ด, ไค ฮาแวร์ตซ์, กาเบรียล เชซุส

ความเสียดายที่นักวิจารณ์มีต่ออาร์เซน่อลคือ ในวันที่มีขุมกำลังพร้อมสรรพ สามารถเล่นงานใครก็ได้ แต่ อาร์เตต้า ยังเหมือน "ดึงเบรกมือ"

กล้า ๆ กลัว ๆ คล้ายไม่มั่นใจในทีมตัวเอง ไม่กล้าเปิดเกมลุยแลกเต็มตัว อย่างเกมนี้ก็เห็นตั้งแต่การจัดตัวที่ไม่ให้ เอเบเรชี่ เอเซ่ ลงสนาม แต่เลือกใช้กองกลาง 3 คน มิเกล เมริโน่-เดแคลน ไรซ์-มาร์ติน ซูบิเมนดี แทน

คาร์ร่า บอกว่าอาร์เตต้าจัดทีมโดยกังวลคู่แข่งมากไปหน่อย เหมือนยุคที่เขายังเล่นให้ลิเวอร์พูล เชราร์ อุลลิเย่ร์ กับ ราฟาเอล เบนิเตซ กลัวและคิดมากเกินไปในบางเกม ทำให้มีส่วนในการเก็บคะแนนไม่ได้มากเท่าที่ควรและลิเวอร์พูลในยุคนั้นไม่เคยเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก

เนวิลล์ บอกว่าสิ่งที่เขาอยากจะเห็นตั้งแต่แรกเลยก็คืออาร์เตต้าจะจัดตัวแบบที่ให้ลูกทีมได้เห็นเลยไหมว่าผมเชื่อในตัวพวกคุณ จงลงสนามไปลุยเต็มที่ฆ่าซิตี้ให้ได้ แต่เสียดายที่มันไม่เป็นอย่างนั้น และเมื่อต้องเปลี่ยนตัวรุก 2 คนลงมาตอนพักครึ่งก็แสดงให้เห็นว่า 45 นาทีแรกในเกมนี้นั้นเสียเปล่า

มาเปิดโหมดบุกหลังจากที่ทีมโดนนำไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง

ส่วน รอย คีน บอกว่าอาร์เตต้าระวังมากเกินไป อาร์เซน่อลทั้งทีมต้องเปลี่ยนแนวคิด กล้าได้กล้าเสียบ้างอย่างที่เขาเคยสัมผัสจาก ไบรอัน คลัฟ และ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ไม่ต้องสนใจคู่แข่งเกินไป ลงไปแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกคุณมีดีแค่ไหน

ความคิดเห็นของทั้ง 3 คนวางอยู่บนพื้นฐานเดียวกันว่า เพราะอาร์เซน่อลเวลานี้มีทุกอย่างพร้อมแล้ว ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว ต้องเชื่อในตัวเองได้แล้วว่าฟุตบอลของเราดีกว่าทุก ๆ ทีม ลงสนามไปแล้วเดินเครื่องให้เต็มที่ ไม่ต้องดึงเบรกมือแล้ว

แฟนบอลอาร์เซน่อลหลายคนก็อาจจะคิดอย่างเดียวกัน เห็นทีมเล่นแล้วอึดอัด รู้สึกเหมือนอาร์เตต้าใช้งานลูกทีมได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำไมต้องกลัว ไม่ลุยใส่ไปเลย

เรื่องนี้สุดท้ายแล้วคงต้องรอเวลาให้คำตอบกับเราอย่างเดียวว่าการปรับวิธีการของอาร์เตต้าได้ผลอย่างไร เพราะแน่นอน สิ่งที่นักวิจารณ์อยากให้ทำ อาร์เตต้าทำมาหมดแล้ว เขาเคยให้อาร์เซน่อลเปิดหน้าบุกไม่หยุดยั้ง ยิงแล้วให้ยิงอีก เน้นเกมรุกสวยงามไหลลื่นทรงพลัง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นเพียงพระรองทุกคราไป

ผมเห็นเขาปรับวิธีการ ยังเป็นฟุตบอลเกมบุกนั่นแหละแต่เน้นความรัดกุมให้มากขึ้น อดทนขึ้น ขันเกมรับให้ชัวร์ แล้วปิดเกมให้ได้

ชนะ 1-0 ไม่ใช่เรื่องน่าอายตราบใดที่ทีมยังได้ 3 คะแนน ประตูอื่น ๆ ที่ตามมาว่ากันตามจังหวะเกม แต่เบื้องต้นต้องครองบอลให้แน่นอน เมื่อครองบอลได้แน่นอนโอกาสเสียประตูก็ไม่มี

เกมของทีมปืนใหญ่ช้าลง มองเห็นความระแวดระวังมากขึ้น

เกมเล็กเก็บให้ได้ เกมใหญ่ต้องไม่มือเปล่า.. ถ้าดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้อาร์เซน่อลถล่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ รวมกัน 8-0 ชนะ แมนยูไนเต็ด เสมอ แมนซิตี้ แพ้ ลิเวอร์พูล

พลาดจริง ๆ ในด้านผลการแข่งขันก็เพียงเกมพ่ายหงส์แดงด้วยฟรีคิกอันยอดเยี่ยมของ โดมินิก โซโบซไล ก่อนหมดเวลา 7 นาที เกมอื่นที่เหลือทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

แน่นอนครับ บางคนพอใจ บางคนไม่พอใจ ความต้องการของเราไม่อาจเท่ากันได้ทุกเรื่องหรอก

ผมคิดว่าปัญหาของเรื่องนี้ส่วนหนึ่งคือเงื่อนเวลาที่มันไม่คลิ๊กกัน

เพราะในวันที่อาร์เตต้าเล่นเกมรุกล้างผลาญดูสนุกดุเดือด เขาไม่ได้มีขุมกำลังพร้อมทุกหน่วยเหมือนวันนี้ ประสิทธิภาพเกมรับ-รุกโดยรวมไม่ได้แน่นเปรียะเหมือนเวลานี้ ประสบการณ์ลูกล่อลูกชนของเขาเองก็ไม่ได้มากเท่าวันนี้

แต่ในวันที่เขาเลือกปรับเปลี่ยนวิธีการเล่น เน้นความรัดกุมมากขึ้น บุกด้วยเทมโปที่ช้าลงเน้นความแน่นอนและไม่เสียประตู เขากลับมีทีมที่พร้อมจะเดินหน้าทำลายล้างถล่มตาข่ายคู่แข่งอยู่ในมือ มีผู้เล่นเกมรับระดับท็อปเป็นกำลังสนับสนุนที่อุ่นใจได้ ตัวจริง-ตัวสำรองทดแทนกันสบายในทุกตำแหน่ง

ทุกคนที่มองจากภายนอกล้วนมั่นใจในทีมของพวกเขา มีเพียงอาร์เตต้าคนเดียวที่ไม่มั่นใจในทีมตัวเอง.. ดูเหมือนนักวิจารณ์จะสื่ออย่างนั้น อย่างน้อยก็ในคำพูดของทั้ง คาร์ร่า เนวิลล์ และ คีโน่

คำถามก็คือคุณรู้ได้อย่างไรว่าอาร์เตต้าไม่มั่นใจในทีม คุณบอกว่าควรใส่เอเซ่เป็นตัวจริงมากกว่าเมริโน่ นั่นหมายความว่าเมริโน่ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้คุณได้ใช่ไหม

ถ้าอาร์เตต้าจะมองว่าการต่อสู้ในแดนกลางเกมนี้สำคัญ ซิตี้มี โรดรี้-ทิจจานี่ ไรน์เดอร์ส-แบร์นาร์โด้ ซิลวา หรือบางที ฟิล โฟเด้น มาเล่นร่วม ถ้ายืนกลางคู่ 2 คนเสี่ยงไปไหม ต้องวัดกำลังแดนกลางเพื่อให้เกมนิ่งมากกว่าไหม แถมเมริโน่ก็ยังมีสถิติการทำประตูเป็นตัวทีเด็ดให้เห็น ไม่รวมข้อเท็จจริงที่ว่าเอเซ่ก็เป็นสมาชิกใหม่ เพิ่งเล่นกับเพื่อนได้ไม่กี่เกม

มันพอจะมีเหตุผลรองรับการจัดตัวของเขาไหม..

สิ่งที่อาร์เตต้าทำคือ เมื่อเห็นแมนซิตี้เล่นเกมรับผิดไปจากที่คาดในครึ่งแรก ปล่อยให้ทีมของเขาได้ครองบอล แต่ไม่ให้พื้นที่เจาะเข้าทำ อาศัยจังหวะแย่งบอลแล้วสวนกลับอย่างที่ทำประตูขึ้นนำได้ ครึ่งหลังเขาปรับทันทีโดยไม่รอช้า ส่ง เอเซ่ กับ บูกาโย่ ซาก้า ลงสนาม

นักข่าวถามว่ามันสะท้อนถึงการจัดตัวที่ผิดพลาดไหม คงต้องแล้วแต่มุมมอง ก่อนเกมไม่มีใครรู้ว่าซิตี้จะเล่นอย่างไร และสถานการณ์ในครึ่งแรกจะเป็นอย่างไร ไลน์อัพชุดนี้ของอาร์เซน่อลก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น มันเป็นชุดเดียวกับที่กดแอธ.บิลเบาได้ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกเมื่อกลางสัปดาห์ ซึ่งอาร์เตต้าบอกว่าหลังเกมนั้นไม่มีใครถามเรื่องกองกลาง 3 คนนี้สักคน

แน่นอนครับ คงไม่มีใครบอกได้หรอกว่าถ้าอาร์เตต้าเล่นเกมบุกเต็มรูปแบบ ไปเยือนแอนฟิลด์ก็บุกใส่แลกไปเลยด้วยความมั่นใจในขุมกำลังที่มี เจอแมนเชสเตอร์ ซิตี้เมื่อคืนวันอาทิตย์ก็เปิดฉากลุยแบบโหมกระหน่ำไปเลย แล้วผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร

หลายคนว่าชนะ แต่หลายคนก็ไม่มั่นใจ บางคนบอก 6 แต้มแน่ บางคนบอก 4 แต้ม 2 แต้ม หรืออาจจะไม่มีสักแต้ม.. อาร์เซน่อลมีอาวุธ แล้ว ลิเวอร์พูล กับ แมนซิตี้ ไม่มีอาวุธของเขาหรือ

หรือถ้าจัดตัวรุกลงเต็มตัว แสดงความเป็นตัวเองเต็มที่ แต่ถูกสวนหน้าหงายแพ้ทั้ง 2 นัด จะไม่มีเสียงวิจารณ์อีกใช่ไหมว่าอาร์เตต้าไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดเดิม ๆ หรือจัดทีมโดยไม่ดูความอันตรายของคู่แข่ง ทำไมเลือกกองกลางแค่ 2 คนไปสู้กับกองกลาง 3 คนของหงส์แดงและเรือใบ

ในเมื่อมันไม่ได้เกิดขึ้น เราจึงได้แต่คาดเดา เพียงแต่ผลลัพธ์ที่เรารู้แน่นอนแล้วก็คือ เกมใหญ่ 2 เกมนี้ที่อาร์เตต้าให้ทีมเล่นแบบระวัง อาร์เซน่อลเก็บได้แค่คะแนนเดียวแบบที่เกือบมือเปล่า นั่นยิ่งทำให้เสียงวิจารณ์ดังกว่าเดิม

ผมเข้าใจในมุมมองของคีโน่ คาร์ร่า เนวิลล์ และแฟนบอลอาร์เซน่อลส่วนที่อยากเห็นอาร์เตต้ากล้ากว่านี้ เพียงแต่ไม่ได้คิดว่าเขาขี้ขลาดตาขาวอย่างที่ถูกบางคนกล่าวหาจนเกินไป

มันก็ดูหยิ่งทะนงในความเป็นตัวเองดีล่ะครับ เรามีดีอะไรก็ลงไปแสดงให้เห็น ไม่ต้องกลัวใคร เปลี่ยนทัศนคติใหม่ให้เป็นผู้ชนะซะอย่างที่คีโน่บอก

แต่ผมก็ไม่คิดว่าทัศนคติของอาร์เตต้าเป็นทัศนคติของผู้แพ้เหมือนกัน ในเมื่อเคยใช้วิธีการเดิมแล้วไปไม่สุด จึงต้องปรับเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายก็ดันมีแค่หนึ่งเดียวเสียด้วยคือตำแหน่งแชมป์ น้อยไปกว่านั้นถือว่าล้มเหลวหมด

ก็นั่นล่ะครับ เรื่องนี้ผมคิดว่ามันมีจุดไม่ลงตัวของมันอยู่นิดเดียวจริง ๆ

ในวันที่อาร์เตต้าเล่นเกมรุกเต็มที่ ทีมของเขาไม่ได้ดีขนาดนี้ มีจุดอ่อนให้สลบเหมือด แต่ในวันนี้ที่เขามีทีมที่แข็งแกร่งเติบโตขึ้นแล้ว เล่นได้เหนือกว่าทีมที่เคยไล่ขย่มพวกเขาอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้แล้ว พร้อมวัดกับทุกทีมได้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันกลับเป็นวันที่เขาไม่ได้ใช้การเล่นแบบเดิม

มันก็น่าคิดว่าด้วยขุมกำลังชุดนี้ ถ้าอาร์เตต้าไม่คิดมากอย่างที่นักวิจารณ์ว่าเอาไว้ แล้วนำฟุตบอลเกมรุกเต็มตัวอย่างเมื่อ 2-3 ปีก่อนมาใช้ เดินเร็วขึ้น กล้าแลกขึ้น ยิงให้มากกว่าที่เสีย อาร์เซน่อลจะทะลุยาวเข้าเส้นชัยได้จริงหรือเปล่า

คำตอบอาจจะอยู่ในสายลม ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าอาร์เตต้านั่นแหละคือคนที่รู้จักทีมของเขาดีที่สุด

ชื่อที่กางปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษอาจจะสวยกว่าทีมอื่น ๆ แต่ลองนึกดูอีกทีว่า ณ เวลานี้ความลงตัวมีเต็มที่แล้วหรือยัง นักเตะเข้าขารู้ใจกันสุด ๆ แล้วไหม วิคตอร์ เยอเคเรส ยังต้องปรับการเล่นให้เข้ากับเพื่อน ๆ อยู่เลย แล้วอย่างนี้จะไปเปิดเกมรุกเต็มพิกัด แสดงความเป็นตัวของตัวเองเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวเสียบอลให้เกมโต้ของทีมที่มีนักเตะอย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์ หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เลยจริง ๆ หรือ

ซิตี้เมื่อคืนวันอาทิตย์ก็ทำให้เห็นแล้ว รับให้แน่น ปิดให้มิด เก็บบอลสองแล้วโต้ ตูมเดียวตาข่ายสะเทือน

ผมคิดว่าอาร์เซน่อลกับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าตอนนี้ยังไม่ลงตัวในเรื่องความไหลลื่นเลย จากฟอลส์ไนน์มาเป็นสไตรเกอร์ แถมแผงหน้าเป็นตัวใหม่ 3 คนก็ต้องใช้เวลาปรับจูนการเล่นให้เข้ากับเพื่อน ยังไม่รวมปัญหานักเตะที่เป็นหัวใจอย่าง ซาก้า กับ มาร์ติน โอเดการ์ด เจ็บที่เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจกันเพิ่มขึ้นมาอีก วิลเลียม ซาลิบา ก็เพิ่งหายเจ็บกลับมาคุมเกมรับ

มันอาจจะยังไม่ถึงเวลาแลกก็ได้เพราะความเสี่ยงที่จะเสียบอลมีมากขึ้น.. หรือเมื่อเวลาแลกมาถึงแล้วจะทันการณ์ไหม นั่นก็ไม่รู้อีกเช่นกัน

คงต้องรอให้เวลามอบคำตอบกับเรา แต่ผมแค่ไม่เชื่อว่า มิเกล อาร์เตต้า จะเป็นคนโง่หรือขี้ขลาด หรือไม่มั่นใจในทีม สุดท้ายแล้วถ้าทำไม่ได้ตามเป้าหมายอีกครั้ง ก็เป็นหน้าที่ของสโมสรที่จะพิจารณาเองว่าจะเอาอย่างไรต่อไป..

#ตังกุย



ที่มาของภาพ : Reuters
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport