ลิเวอร์พูลหวาดเสียวอีกเกม

ลิเวอร์พูลหวาดเสียวอีกเกม
เป็นเกมแรกในฤดูกาลนี้ที่ลิเวอร์พูลไม่ได้ประตูชัยในช่วงท้ายเกม

5 นัดที่ผ่านมา.. 4 เกมในลีก 1 เกมในแชมเปี้ยนส์ ลีก ผมคิดว่าท่ามกลางเสียงบ่นเรื่องหัวใจจะวายเพราะความเครียดจากการลุ้น เดอะค็อปมากมายมีความรู้สึกภูมิใจอยู่ลึก ๆ ในวีรกรรมของทีม

ตราบใดที่เสียงนกหวีดหมดเวลายังไม่ดังขึ้น พวกเขาจะลุยเพื่อชัยชนะ

แข็งแกร่งมากในแง่แคแร็กเตอร์ของความเป็นผู้พิชิต เท่าที่นึกได้และลองหาข้อมูลดู ผมยังไม่เคยพบว่าจะมีทีมไหนยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกมติดต่อกันได้ขนาดนี้

5 นัด..

ยิงท้ายเกมตั้งแต่นาที 80 เป็นต้นไปได้ติดต่อกัน 5 เกมนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ทั้งหมดคือประตูชัยหรือลูกที่ตัดสินชัยชนะของเกม เท่าที่ลองหาข้อมูลดูยังไม่เคยเจอ

คุณอาจจะทำประตูได้ในนาทีที่ 87 หรือ 90 หรือ 90+4 หรือ 90+9 แต่มันอาจเป็นประตู 3-0, 5-1, 4-2 หรือตีไข่แตก 1-2

ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ Winning goal หรือ ประตูชัย อย่างที่ลิเวอร์พูลยิงนำบอร์นมัธ 3-2 นาที 88 (ก่อนชนะ 4-2).. ยิงชนะนิวคาสเซิ่ล 3-2 นาที 90+10.. ยิงชนะอาร์เซน่อล 1-0 นาที 83.. ยิงชนะเบิร์นลี่ย์ 1-0 นาที 90+5 และยิงชนะแอตเลติโก มาดริด 3-2 นาที 90+2

เหล่านี้คือประตูชัย ทำให้ทีมดีดจากเสมอเป็นชนะทั้งสิ้น และมันเกิดขึ้น 5 เกมติดต่อกัน

ผมจึงคิดว่าเดอะค็อปภูมิใจในทีมของตัวเองอยู่ลึก ๆ ในเรื่องนี้ ปากอาจจะพร่ำบ่นอยู่บ้างว่าอย่าทำอย่างนี้อีกเลย หัวใจผมไม่แข็งแรงพอ หรือขอชนะแบบสบาย ๆ บ้างได้ไหม แต่การทำมันได้อย่างต่อเนื่องอย่างนั้นคือการปักหมุดอะไรบางอย่างว่าลิเวอร์พูลก้าวขึ้นไปอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งมาก ๆ

เรายังมองเห็นพื้นที่โล่งข้างหน้าที่รอลิเวอร์พูลอยู่ พื้นที่ที่นักเตะซึ่งเป็นความหวังอย่าง โฟลเรียน เวียร์ทซ์ กับ อเล็กซานเดอร์ อิซัค สามารถปรับตัวเล่นเข้ากับทีมอย่างกลมกลืน ถ้าไปถึงจุดนั้นได้ทีมหงส์แดงจะยกระดับขึ้นไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่มากขึ้นไปอีก

และระดับที่ลิเวอร์พูลกำลังเป็นอยู่.. คือตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลป้องกันแชมป์ ที่ลงสนามไปแล้ว 5 เกม ชนะทั้ง 5 เกม เก็บ 15 คะแนนเต็มทิ้งอันดับสองไปแล้ว 5 แต้ม (อาจเหลือ 3 เท่าเดิมถ้าอาร์เซน่อลชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คืนนี้)

ศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ที่แอนฟิลด์เมื่อค่ำวันเสาร์ไม่ได้จบลงแบบดราม่ากดประตูชัยท้ายเกมแบบ 5 นัดที่ผ่านมา แต่ความระทึกหัวใจเต้นโครมครามและผลลัพธ์ไม่แตกต่าง

ลิเวอร์พูลยังทำให้เดอะค็อปต้องนั่งตัวเกร็ง กัดเล็บลุ้น หัวใจเต้นแรง หรือเดินไปเดินมาด้วยความร้อนรุ่มในใจได้โดยที่ไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์เดินหน้าบุกเพื่อเอา Winning goal 

นำอยู่ก็เสียวได้ และที่แฟนบอลหงส์แดงอยากจะถอนหายใจดัง ๆ ก็คือขนาดนำ 2 ประตูก็ยังสบายใจไม่ได้

การขึ้นนำ บอร์นมัธ นิวคาสเซิ่ล และ แอตเลติโก มาดริด 2-0 แล้วถูกไล่ตีเสมอเป็น 2-2 ได้ทั้งหมด รวมถึงเกมกับเอฟเวอร์ตันที่นำ 2-0 เช่นกันแล้วถูกยิงไล่มาเป็น 2-1 แสดงให้เห็นว่าลิเวอร์พูลยังทำได้ไม่ดีนักในการรักษาความได้เปรียบที่จะทำให้ทีมไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง

มันควรจะเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาปิดเกมได้ จะไปจบที่ 2-0 หรือทำประตูที่ 3 หรือ 4 หนีออกไปอีกก็แล้วแต่ ทว่าต้องไม่ใช่แบบนี้ที่ถูกยิงไล่มา 2-1 จนเป็นจุดเริ่มต้นของความปั่นป่วนอย่างที่เกิดขึ้นตลอดทั้ง 4 เกมที่ขึ้นนำ 2-0 ในฤดูกาลนี้ และทั้ง 4 เกมนั้นอยู่ใน 6 แมตช์แรกของฤดูกาล

อันที่จริงผมมองเห็นความพยายามในการแก้ไขมัน 2 เกมแรกลิเวอร์พูลโยนความได้เปรียบ 2 ประตูทิ้งไปด้วยลักษณะแตกต่างกัน เกมกับบอร์นมัธเจอสวนกลับจากการเสียบอลแดนบนทั้ง 2 ลูก เกมกับนิวคาสเซิ่ลกองหลังป่วนจัดการลูกกลางอากาศไม่ได้ ปล่อยให้คู่แข่งได้โหม่ง

เกมกับอาร์เซน่อลและเบิร์นลี่ย์แนวรับมีสมาธิ ไม่ปล่อยบอลตก เข้าสกัดและช่วยซ้อนตามเก็บได้ดี ปิดโอกาสของฝ่ายตรงข้ามสนิท

แต่เกมกับแอต.มาดริด กลับไปเผลอเรออีกครั้ง ถูกตักบอลเข้าพื้นที่หลังแบ๊กซ้ายที่ดันขึ้นสูงในประตูตีไข่แตก ขณะที่เกมรับมือทอฟฟี่สีน้ำเงินถูกจี้ถี่ ๆ ในพื้นที่แบ๊กขวาที่ตัวอันตรายอย่าง แจ๊ค กรีลิช ได้บอลมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในแต่ละเกมจะมีลักษณะคล้าย ๆ กันคือเมื่อถึงจุดที่คู่ต่อสู้เริ่มเปิดหน้าแลกและเปิดเกมสู้ด้วยสถานการณ์ที่ตกเป็นรองเพราะโดนยิงนำไปแล้ว ลิเวอร์พูลจะเริ่มมีปัญหาในการรับมือ บางครั้งเป็นการเข้าทำที่ดีของฝ่ายตรงข้าม แต่บางครั้งก็พลาดเองง่าย ๆ แม้ในขณะเดียวกันเกมที่เปิดขึ้นจะเป็นโอกาสที่ทีมหงส์แดงจะทำประตูหนีออกไปก็ตาม

ตรงนี้ยังเป็นโจทย์ที่ อาร์เน่อ กับลูกทีมของเขาต้องแก้ไขและพัฒนาขึ้นต่อไป การเจอกับคู่ต่อสู้ที่ตั้งเกมรับแน่นในเวลาที่สกอร์ยัง 0-0 นั้นเป็นบททดสอบหนึ่ง การรับมือกับคู่แข่งที่บ้าเลือดขึ้นมาพร้อมชวนทะเลาะเพราะไม่อยากแพ้ก็เป็นอีกบททดสอบหนึ่ง คุณสามารถเจอบททดสอบทั้ง 2 ข้อนี้ได้ในเกมเดียวกัน หรือบางเกมอาจเจอมันสลับกันไปมา

หลังชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตัน มีจุดที่น่าสนใจว่า อาร์เน่อ จะพัฒนาทีมต่อไปอย่างไรสัก 3-4 จุด

  • การปรับตัวของ โฟลเรียน เวียร์ทซ์
  • กองหน้าตัวเป้า อเล็กซานเดอร์ อิซัค หรือ อูโก้ เอกิติเก้ หรือออกแบบให้เล่นด้วยกันให้ได้
  • การแข่งขันในพื้นที่กองหน้าฝั่งซ้าย โกดี้ กักโป ริโอ เอนกูโมอา หรือขยับ เอกิติเก้ กับ เวียร์ทซ์ ไปเล่น
  • ทั้งหมดนี้ยังจะส่งผลถึงตำแหน่งที่ชัดเจนของ โดมินิก โซโบซไล

เพราะผมไม่คิดว่าการเข้ามาของ เวียร์ทซ์ นั้น อาร์เน่อจะยังต้องการใช้แดนกลางเป็น แม็ค อัลลิสเตอร์-กราเฟนแบร์ก-โซโบซไล เหมือนซีซั่นก่อน

โมเดลของมันจะต้องมีดาวเตะเยอรมันในบทบาทเบอร์ 10 เช่นเดียวกับตำแหน่งเบอร์ 9 ก็จะต้องเป็นของ อิซัค นับตั้งแต่ดาวยิงทีมชาติสวีเดนก้าวเข้าสู่แอนฟิลด์ด้วยค่าตัวเป็นสถิติ

รูปแบบที่จะต้องพัฒนาไปให้ลงตัวจึงน่าจะเป็น อิซัค หน้าเป้า-เวียร์ทซ์เบอร์ 10-ซาลาห์หน้าขวา และกราเฟนแบร์กเบอร์ 6

คนที่อยู่ในคำถามเรื่องการแย่งตำแหน่งจะเป็น กักโปหน้าซ้าย กับ แม็ค อัลลิสเตอร์ หรือ โซโบซไล ที่จะยืนคู่กลางกับกราฟ

หลัก ๆ น่าจะเป็นภาพนั้น แต่แน่นอนครับ ในระหว่างทางที่ อาร์เน่อ กำลังพัฒนาทีมให้ไปถึงตรงนั้น ทีมก็จำเป็นต้องทำผลงานที่จับต้องได้ด้วยเช่นกันเพราะมีภารกิจใหญ่ป้องกันแชมป์ลีกให้ได้ในรอบ 42 ปี

ทุกคะแนนมีความหมาย เราจึงได้เห็นการปรับ การแก้ไข และทดลองทางเลือกอื่นทั้งในไลน์อัพตัวจริงและระหว่างเกมอย่างที่เห็น ซึ่งตลอด 5 เกมที่ผ่านมาในลีกและ 1 เกมในแชมเปี้ยนส์ ลีก อาร์เน่อและลูกทีมของเขายังทำได้ดี

ถนนยังอีกยาวไกล เดอะค็อปยังมีอะไรให้ลุ้น ให้ตื่นเต้น ให้เสียวซ่าน หรือกระทั่งให้ผิดหวังบ้าง แต่ในขณะเดียวกันทีม ๆ นี้ก็จะยังมีอะไรให้พวกเขาได้ดีใจ ได้ชื่นชม และได้ภูมิใจไปด้วยกันตลอดเส้นทางเช่นกันล่ะครับ

-ตังกุย-



ที่มาของภาพ : Reuters
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport