แมนซิตี้ เปิดเอติฮัดอัด แมนยู 3-0 เกมดาร์บี้ พรีเมียร์ลีก ฮาลันด์ ยิงสอง, โฟเด้น โขกนำ ขณะที่ อโมริม กุนซือผีแดงส่อเด้งหลังเก็บได้เพียง 4 แต้มจาก 4 นัดแรก
1. เรือปรับทัพครึ่งโหล-ดอนนารุมม่า ประเดิม
แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปลี่ยนนักเตะตัวจริงมากถึงหกรายในเกมต้อนรับ แมนฯ ยูไนเต็ด อริร่วมเมือง
เป็นไปตามคาดที่ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารคนใหม่ได้ประเดิมเฝ้าเสาทันทีหลังย้ายมาจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทีมแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
นอกนั้นอีกห้ารายที่ได้ลงบู๊ประกอบไปด้วย ฟิล โฟเด้น ,ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ,นิโก้ โอเรียลลี่ ,รูเบน ดิอาส และ เฌเรมี่ โดกู
สำหรับนักเตะที่พลาดนัดนี้ประกอบไปด้วย จอห์น สโตน , โอมาร์ มาร์มูช และ ไรยัน เอต์ นูรี ที่บาดเจ็บ รวมถึง ไรยัน แชร์กี ที่ได้พัก ขณะที่ มาเตอุส นูนเนซ และ ออสการ์ บ๊อบบ์ ตกไปเป็นตัวสำรอง
ในส่วนของ ดอนนารุมม่า การได้ลงเล่นทำให้เขาเป็นนักเตะใหม่ของ เรือใบสีฟ้า รายที่แปดที่ได้ประเดิมสนามในเกมดาร์บี้ แมตช์ และเป็นนายทวารรายที่สามต่อจาก เคลาดิโอ บราโว ในเดือนก.ย.2016
2. ผีใช้งาน เชชโก้ ตัวจริงเกมแรก
รูเบน อโมริม กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด เลือกใช้งาน เบนยามิน เชชโก้ กองหน้าคนใหม่ลงเล่นเป็นตัวจริงเกมแรกนับตั้งแต่ย้ายมาจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ทดแทน เมสัน เมาท์ และ มาเตอุส คุนญ่า ที่บาดเจ็บ
ขณะเดียวกัน ดีโอโก้ ดาโลต์ เป็นอีกรายที่เดี้ยงลงเล่นเกมนี้ไม่ได้ แต่ ผีแดง ได้ นุสแซร์ มาซราวี ฟิตกลับมาเสียบแทนพอดี
ด้าน กาเซมีโร่ เป็นอีกรายที่เสียตำแหน่ง 11 คนแรกให้กับ มานูเอล อูการ์เต้ โดยเกมนี้นับเป็นหนแรกของศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่ทั้งสองฝ่ายใช้งานไลน์อัพอายุเฉลี่ยไม่เกิน 25 ปีเช่นเดียวกันนับตั้งแต่เดือนต.ค.2011 ซึ่ง เรือใบสีฟ้า ยำใหญ่ ผีแดง 6-1 โดยเจ้าบ้านมีอายุเฉลี่ย 25 ปี 224 วัน ขณะที่ทีมเยือนมีอายุเฉลี่ย 25 ปี 141 วัน
3. งานถนัด โฟเด้น
จะว่าไปแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ตได้ไม่เลวเลยเนื่องจากเป็นฝ่ายบุกใส่เจ้าบ้านก่อนโดยไม่เกรงกริ่ง และมีโอกาสทำเสียวจากจังหวะพลิกยิงของ เชชโก้ ด้วย แต่ยังไม่ดีพอที่จะผ่านการเซฟของ ดอนนารุมม่า
กระทั่งนาทีที่ 18 เจ้าบ้านซึ่งเริ่มคุมเกมได้ดีขึ้นเป็นลำดับก็ได้ประตูนำเร็วจากการลากบอลแหวกเข้าเขตโทษของ โดกู แล้วตวัดไปหน้าประตูให้ โฟเด้น โขกตุงตาข่ายเป็นสกอร์นำ 1-0 ของ เรือใบสีฟ้า
หลังสอยตาข่ายได้ โฟเด้น ยิงประตู ผีแดง ได้เป็นเม็ดที่ 7 แล้วสำหรับเกมดาร์บี้ แมตช์ ของศึก พรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ เซร์คิโอ อเกวโร่ รายเดียวที่ยิงทีมร่วมเมืองได้มากที่สุดในรายการนี้ 8 ประตู แถมมีแค่ ไบรท์ตัน ทีมเดียวเท่านั้นที่โดน โฟเด้น ทะลวงประตูมากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด 8 เม็ด
ในทางกลับกัน หากนับรวมขุนพล เร้ด เดวิลส์ เข้าไปด้วย เวย์น รูนีย์ เป็นอีกรายที่เช็กบิลในเกมดาร์บี้ แมตช์ได้มากกว่า โฟเด้น 8 ประตูเช่นกัน
สำหรับ โดกู นับตั้งแต่ประเดิมสนามในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนก.ย.2023 ไม่มีนักเตะคนไหนทำแอสซิสต์จากจังหวะโอเพ่น เพลย์ของรายการดังกล่าวได้มากไปกว่าเขาอีกแล้ว 14 ประตู
จบครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ ซึ่งนำหน้า 1-0 มีสถิติข่ม แมนฯ ยูไนเต็ด ในแง่การครองบอล 59.8%:40.2% เช่นเดียวกับโอกาสง้างไก 4:1 ครั้ง รวมทั้งการส่งบอลเข้ากรอบที่เหนือกว่า 2:1 ครั้ง
4. หนังม้วนเดิม-ฮาลันด์ คนดีคนเดิม
กลับสู่ครึ่งหลัง ผีแดง เริ่มเปิดฉากเดินหน้ากดดันเจ้าบ้านได้ดีเช่นเดียวกับช่วงครึ่งแรก แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือพวกเขาไม่สามารถเจาะเกมรับของทีมร่วมเมืองได้
และในที่สุด นาทีที่ 53 เกมรับที่หลวมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เปิดทางให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ลากหนี ชอว์ เจ้าเก่าเข้าซัดไม่เหลือให้ เรือใบสีฟ้า นำห่าง 2-0 ซึ่งตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่าระบบหลังสามของ อโมริม ฆ่าทีมตัวเองตายมาโดยตลอด
สำหรับสกอร์ 2-0 จากดาวยิงทีมชาติ นอรเวย์ นับเป็นเกมที่ 12 ของ พรีเมียร์ลีก ที่ ฮาลันด์ กับ โฟเด้น สอยตาข่ายได้ในเกมเดียวกันให้กับ แมนฯ ซิตี้ ก่อนที่ดาวยิงร่างยักษ์จะได้ลูกจ่ายจาก แบร์นาร์โด้ ซิลวา หลุดเดี่ยวไปเช็กบิลให้เจ้าบ้านนำหน้า 3-0
จากผลงานดังกล่าวฟ้องให้เห็นว่า ฮาลันด์ คนเดิมกลับมาล่าตาข่ายได้อย่างร้อนแรงอีกหนแล้วเนื่องจากเป็นประตูที่ 11 จากหกเกมหลังที่เขาพังประตูได้กับทั้งในนามสโมสรและทีมชาติ
นอกจากนี้ ฮาลันด์ ทำประตูเกมเหย้าของ พรีเมียร์ลีก ได้ครบ 50 ประตูพอดีจาก 50 นัดเป็นรอง อลัน เชียเรอร์ แค่คนเดียวที่ยิงประตูเกมเหย้า พรีเมียร์ลีก ครบ 50 ตุงในเวลาที่น้อยกว่า 47 นัด
แม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะบุกมาแพ้ขาดลอย 3-0 แต่หากจะมองหาแง่ดีให้กับทีมเยือนก็ต้องบอกว่าพวกเขายกระดับเกมในครึ่งหลังได้ดีขึ้นด้วยการเดินหน้าโจมตีใส่เจ้าบ้านอย่างไม่ละความพยายาม หากแต่สิ่งที่เป็นปัญหาเรื้อรังของทีมนี้คือการจบสกอร์ที่ไม่เอาอ่าว
ดังจะเห็นว่าหลังจบ 90 นาที ทีมของ อโมริม พลิกกลับมาครองบอลได้ดีกว่า 54.9%:45.1% และได้ยิงมากกว่า 13:12 ครั้ง แต่เป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 5:2 ครั้งอันนำมาซึ่งชัยชนะ 3-0 ของพวกเขานั่นเอง
5. อโมริม คอพาดเขียง?
ผ่านไปสี่เกม อโมริม คุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้สองเกมแล้ว และชนะแค่เกมเดียวเท่านั้นในศึก พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
ฉะนั้นแล้ว มันจึงไม่ใช่ผลงานที่ดีเลิศประเสริฐศรีเลยสำหรับผู้จัดการทีมที่กำลังถูกสื่อรุมจับตาว่ามีโอกาสตกงานในเร็ววันต่อจาก นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ซึ่งเป็นอดีตกุนซือทีม ฟอเรสต์ ไปแล้ว
สี่เกมกับ 12 แต้มที่มีให้ไล่ล่า อโมริม พา ผีแดง เก็บได้แค่ 4 แต้มเท่านั้นซึ่งนับเป็นการออกสตาร์ตที่เลวร้ายที่สุดของสโมสรในเกมลีกนับตั้งแต่ซีซั่น 1992/93 ซึ่ง อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมคว้าได้สี่แต้มจากสี่เกมแรกเช่นกัน แต่สุดท้ายป๋าพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จซึ่งรับรองได้เลยว่าไม่มีทางเกิดขึ้นกับนายใหญ่โปรตุกีสอย่างแน่นอน
แถมดีไม่ดี เขาอาจตกเก้าอี้ในไม่ช้าอย่างที่แฟน ผีแดง ปรารถนาก็เป็นได้เนื่องจากสโมสรจะมีเกมต้อนรับ เชลซี นัดต่อไปซึ่งยังไงก็ถือเป็นแมตช์ที่ยากอย่างแน่นอนสำหรับ อโมริม เนื่องจาก สิงห์บลูส์ ยังไม่แพ้ใครในซีซั่นนี้
ในมุมกลับ กวาร์ดิโอล่า กำชัยเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ได้เป็นครั้งที่ 10 แล้วซึ่งเป็นผลงานที่รองจากอดีตสองผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมบู๊กับทีมร่วมเมืองโดย เฟอร์กี้ มีชัยต่อเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญรายนี้ 20 นัด ขณะที่ เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ ประสบกับชัยชนะ 15 นัด
สำหรับ อโมริม ถึงตอนนี้เขามีสถิติคุมทีมชนะเกมใน พรีเมียร์ลีก แค่ 26% เท่านั้น และประสบกับปัญหาในการพาทีมสอยตาข่ายฝ่ายตรงข้ามเนื่องจาก ผีแดง เท้าบอด 13 จาก 31 นัดใน พรีเมียร์ลีก โดยพวกเขายิงประตูได้แค่ 36 ลูกเท่านั้น
เฉลี่ยแล้ว ผีแดง ของกุนซือชาวเมืองฝอยทองยิงประตูได้เฉลี่ยแค่นัดละ 1.6 เม็ด และแพ้เกมลีก 8 จาก 31 นัด แถมเก็บคลีนชีตได้แค่ 5 นัดจากระบบหลังสามของเขา
ขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด มีผลงานกำชัยเกม พรีเมียร์ลีก นัดเยือน 20 นัดหลังแค่เกมเดียวเท่านั้นเมื่อนับเฉพาะเกมบู๊กับทีมระดับบิ๊กซิกซ์โดยพวกเขาเสียประตูมากถึง 53 ลูก