ลิเวอร์พูล คว้าสามคะแนนสำคัญในช่วงทดเจ็บจากผลงานของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ซัดจุดโทษเฉือนชนะ เบิร์นลี่ย์ 1-0 ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา โดยเกมนี้เจ้าบ้านเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น และเกือบประสบความสำเร็จ แต่ความผิดพลาดของ ฮันนิบาล เมจบรี้ ที่ทำแฮนด์บอลในเขตโทษ ส่งผลให้พวกเขาต้องพบกับหายนะในเกมนี้
1. ประตูชัยช่วงท้ายเกมอีกแล้ว
ลิเวอร์พูล ลงสนามในเกมลีกไปแล้ว 4 แมตช์ แต่ฟอร์มยังไม่ค่อยน่าประทับใจมากเท่าไหร่ แม้จะสามารถเก็บชัยชนะได้เรียบวุธ แต่ทุกเกมพวกเขาต้องลุ้นกันรากเลือดกว่าจะเอาชนะคู่แข่งได้ซึ่งทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" ใจหายใจคว่ำตลอด
ตั้งแต่เกมเปิดซีซั่นที่ชนะ บอร์นมัธ พวกเขานำไปก่อน 2-0 แต่ก็โดนไล่ตีเสมอ 2-2 และกว่าจะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งต้องรอถึงนาทีที่ 88 จาก เฟเดริโก้ เคียซ่า และประตูตอกฝาโลงจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในนาทีที่ 90+4
เช่นเดียวกับเกมเฉือนชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สถานการณ์เหมือนทุกอย่าง และมาได้ประตูชัยจาก ริโอ เอ็นกูโมฮา นาทีที่ 90+10 ขณะที่แมตช์สอย อาร์เซน่อล ประตูชัยจากฟรีคิกสุดงามของ โดมินิค โซโบซไล ซึ่งก็เกิดขึ้นในนาทีที่ 83 และล่าสุดชนะ เบิร์นลี่ย์ ก็ต้องรอประตูจากจุดโทษของ "บังโม" นาทีที่ 90+5
แน่นนอนว่าชัยชนะเป็นสิ่งที่น่าประทับใจ และเติมเต็มความสุขให้กับแฟนบอล "หงส์แดง" แถมบางคนบอกว่านี่คือสัญญาณของทีมที่จะเป็นแชมป์ แต่ฟอร์มโดยรวมหากยังไม่สามารถยกระดับได้มากกว่านี้ เมื่อต้องพบกับพวกทีมใหญ่หรือทีมที่มีจังหวะสวนกลับเฉียบคม งานนี้บอกเลยว่า ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์น้ำตาร่วงได้เลย
ตอนนี้ โค้ชอาร์เน่อ สล็อต มีโจทย์สำคัญที่ต้องแก้ไขให้ได้ ทั้งการดึงศักยภาพที่แท้จริงของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ออกมาให้เร็วที่สุด, การสร้างแนวรุกที่อันตรายและเฉียบคมมากกว่านี้ และการเล่นที่คงเส้นคงวา เพราะหากยังทำไม่ได้การป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกคงยากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
2. เกมรับเหนียวแน่น
หลังจากที่ทีมเสียประตูสองเกมแรก ตอนนี้ ลิเวอร์พูล สามารถเก็บคลีนชีตสองแมตช์ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่แฟนบอลหงส์แดงอยากเห็นมากๆ เพราะนั่นเป็นการแสดงให้เห็นทีมเกมรับของทีมเริ่มดีวันดีคืน
หลายคนอาจจะคิดว่า เบิร์นลี่ย์ เน้นตั้งรับและแทบไม่มีโอกาสเปิดเกมรุก แต่หากมองภาพรวมจะเห็นได้ว่าทุกจังหวะที่เจ้าบ้านเปิดบอลโด่งเข้ามา เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อิบราฮิม่า โกนาเต้ สามารถดักสกัดได้หมด ทำให้ อลีสซง เบ็คเกอร์ ไม่ต้องเจองานหนักอะไรเลย
การที่คู่เซนเตอร์แบ็กสามารถเล่นได้เข้าขากันมากยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้เพื่อนร่วมทีมรู้สึกอุ่นใจ ที่สำคัญทั้งสองยังช่วยดันเกมขึ้นมาเล่นในแนวรุก ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" สามารถกดดัน เบิร์นลี่ย์ ไม่ให้ขึ้นเล่นสวนกลับได้มากนัก
ตอนนี้สาวก "เดอะ ค็อป" คงคาดหวังว่าแนวรับของทีมจะเล่นได้แข็งแกร่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และถ้าหากปรับเกมรุกให้เฉียบคมยิ่งขึ้น ลิเวอร์พูล จะเข้าสู่โหมดสมบูรณ์แบบ และจะอันตรายยิ่งกว่านี้
3. รถบัสเต็มเทิร์ฟ มัวร์
สกอตต์ พาร์คเกอร์ รู้ดีว่าการที่จะเล่นเกมกล้าได้กล้าเสียกับ ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์ที่ทีมของเขาจะโดนยำเละเหมือนสมัยที่เคยโดน "หงส์แดง" ทุบยำ 9-0 ตอนที่คุม บอร์นมัธ เมื่อปี 2022 ดังนั้นการเล่นเกมรับแบบอดทนจึงเป็นแท็กติกที่ดีที่สุด
แผนของ พาร์คเกอร์ ถือว่าสมบูรณ์แบบมากๆ เพราะ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเจาะเข้าไปสร้างความอันตรายในกรอบเขตโทษของพวกเขาได้เลย แถมยังมีโอกาสสวนกลับในบางจังหวะซึ่งทำให้ทีมเยือนต้องปั่นป่วนเช่นกัน แม้ช่วงที่เหลือ 10 คนพวกเขาก็ยังตั้งรับเหนียวแน่น
น่าเสียดายที่ความผิดพลาดส่วนบุคคลจากการทำแฮนด์บอลในเขตโทษช่วงทดเจ็บทำให้ทีมต้องเสียจุดโทษ และกลายเป็นประตูที่ทำให้พวกเขาต้องพบกับความพ่ายแพ้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในเกมแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วย
แน่นอนว่าการใช้แผนรถบัสจอดขวางเต็มสนามเทิร์ฟ มัวร์ สร้างความอึดอัดให้กับเกมรุกของ ลิเวอร์พูล แต่ถ้าต้องการให้แท็กติกนี้สมบูรณ์แบบ พาร์คเกอร์ ต้องกระตุ้นลูกทีมให้มีสมาธิในช่วงท้ายเกม และลดความผิดพลาดส่วนบุคคล ไม่งั้นสิ่งที่ทำมาตั้งแต่นาทีแรกมันต้องสูญเปล่าในนาทีสุดท้าย !!
4. บทเรียน เคอร์เคซ, อาร์เน่อ ตัดสินใจเด็ดขาด
ผลงานของ มิลอส เคอร์เคซ กับ ลิเวอร์พูล ยังไม่ค่อยน่าประทับใจมากนัก โดย 2 เกมแรกเจ้าตัวถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพิ่งจะมาได้รับคำชมในแมตช์ชนะ อาร์เซน่อล แต่เกมเฉือน เบิร์นลี่ย์ นักเตะทำเรื่องไม่น่าทำจนส่งผลกระทบกับตัวเอง
การที่ แบ็กซ้ายทีมชาติฮังการี ตัดสินใจพุ่งล้มส่งผลให้โดนใบเหลืองตั้งแต่ช่วงกลางครึ่งแรก นั่นทำให้เขาต้องเล่นยากขึ้น และ โค้ชอาร์เน่อ จำเป็นต้องตัดสินใจถอดนักเตะออกทันที เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่อาจส่งผลเสียหายกับทีมได้
เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญของ เคอร์เคซ ที่ต้องเล่นด้วยความรอบคอบ และมีสมาธิกับเกมมากกว่านี้ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่นักเตะคงรู้สึกผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันมันจะทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันก็ต้องชม โค้ชอาร์เน่อ ที่ตัดสินใจเด็ดขาดโดยไม่ลังเลที่จะปล่อยให้สถานการณ์นี้สร้างความเสียหายให้กับทีม ฉะนั้นการเปลี่ยนตัวออก แล้วค่อยปรับทัศนคติของนักเตะที่หลังเป็นการส่วนตัวก็ได้
นอกจากนี้ กุนซือหัวใจจากแดนกังหันลม ยังกล้าเสี่ยงในการถอด อิบราฮิม่า โกนาเต้ ออก และส่งผู้เล่นเกมรุกลงสนามมากขึ้นเพื่อหวังจะเอาประตูชัยให้ได้ โดยตัวสำรองอย่าง เคียซ่า, เจ้าหนูริโอ และ เจเรมี่ ฟริมปง มีส่วนสำคัญในการช่วยทีมกดดันแนวรับเบิร์นลี่ย์ จนสุดท้ายก็สัมฤทธิ์ผล
5. อีซัค ยังไม่พร้อมเดบิวต์
สาวก "เดอะ ค็อป" คาดหวังจะได้เห็น อเล็กซานเดอร์ อีซัค ลงสนามในเกมนี้ แต่ด้วยสภาพความฟิตของนักเตะ โค้ชอาร์เน่อ จึงไม่อยากเสี่ยงที่จะใช้งาน เพราะหากเกิดความผิดพลาดอาจส่งผลเสียกับทีม
อีซัค ย้ายมาพร้อมกับค่าตัวเป็นสถิติเกาะอังกฤษ 125 ล้านปอนด์ (ราว 5,500 ล้านบาท) ดังนั้นนักเตะจึงได้รับการคาดหวังว่าจะมาช่วยเพิ่มศักยภาพในเกมรุกให้กับทีม หลัง "เดอะ เร้ดส์" ฟอร์มในการจบสกอร์ยังไม่ค่อยน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตาม การที่ อีซัค ไม่ได้ลงเล่นในช่วงปรีซีซั่นกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ดังนั้นเรื่องสภาพความฟิตของเขายังไม่พร้อมแน่นอน ซึ่งเห็นได้ชัดในเกมที่ทีมชาติสวีเดน แพ้ โคโซโว โดยนักเตะถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรอง และฟอร์มน่าผิดหวังมาก
ดังนั้นการที่ อีซัค ไม่ได้เล่นมานานเกือบ 3 เดือน ทำให้กุนซือชาวดัตช์เลือกที่จะใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป โดยหวังว่าจะพร้อมลงสนามในเกมดวล แอตเลติโก มาดริด ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันพุธนี้ กระนั้นนี่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่แฟนหงส์จะได้เห็น อีซัค โชว์ฟอร์มเต็มศักยภาพ