ครั้งหนึ่ง การตัดสินความสำเร็จของตลาดซื้อขายนักเตะ มักขึ้นอยู่กับคุณภาพของผู้เล่นใหม่ที่ถูกดึงเข้ามาเสริมทีม แต่ในยุคที่กฎกำไรและความยั่งยืน (Profit and Sustainability Rules) มีบทบาท สิ่งสำคัญกลับไม่ใช่เพียงการซื้อนักเตะ หากยังรวมถึงศักยภาพในการขายที่จะกำหนดความแข็งแกร่งของสโมสรในระยะยาว
ซัมเมอร์ 2025 ลิเวอร์พูล ถือว่าทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดทีมหนึ่งของประเทศเคียงคู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พวกเขาระดมทุนจากการขายนักเตะได้ถึง 194 ล้านปอนด์ เพื่อนำมาชดเชยเม็ดเงินมหาศาล 419 ล้านปอนด์ที่ใช้ไป (รวมออปชั่นเสริม อาจทำให้ตัวเลขเพิ่มหรือลดได้อีกราว 30 ล้านปอนด์)
ตรงกันข้ามกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับเจอปัญหาในการหาทางโละนักเตะกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็นส่วนเกินจนกว่าจะถึงช่วงท้ายของตลาด
ขณะที่ อาร์เซน่อล ก็พบว่าเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในการซื้อนักเตะใหม่ มากกว่าที่จะขายนักเตะออกไป
ตลาดหน้าร้อนที่ผ่านมา มีเพียงสองสโมสรเท่านั้นที่ทำเงินจากการขายนักเตะได้มากกว่า ลิเวอร์พูล นั่นคือ เชลซี และ บอร์นมัธ
เม็ดเงินใหม่จาก ซาอุดี โปรลีก ยังคงมีบทบาทสำคัญ เพราะ อัล ฮิลาล ยอมจ่ายมากกว่าสโมสรยุโรปใด ๆ เพื่อคว้าตัว ดาร์วิน นูนเญซ ด้วยค่าตัว 53 ล้านยูโร (45.9 ล้านปอนด์) ซึ่งก่อนหน้านี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ่ ก็ย้ายไป ซาอุฯ ด้วยค่าตัวมหาศาลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือจำนวนเงินก้อนโตที่ ลิเวอร์พูล สามารถรีดออกมาจากบรรดาสโมสรชั้นนำทั่วทวีปยุโรป
พวกเขาขายนักเตะอย่าง หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน และ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ได้ หลังจากยืนหยัดหนักแน่นว่าต้องได้ค่าตัวตามที่ประเมินไว้ นอกจากนี้ยังทำกำไรงาม ๆ จากนักเตะดาวรุ่งที่เป็นเพียงอะไหล่อย่าง จาร์เรลล์ ควอนซาห์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, เบน โด๊ค และไทเลอร์ มอร์ตัน
แม้จะไม่สามารถต่อสัญญาใหม่กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญ แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังพอได้เงินกลับมา เมื่อ เรอัล มาดริด ยอมจ่าย 8.4 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวก่อนหมดสัญญา เพื่อให้ เทรนต์ สามารถลงเล่นในศึก ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ
และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของเบื้องหลังกลยุทธ์การขายนักเตะของ ลิเวอร์พูล ที่ทำให้พวกเขาสร้างสถิติอันน่าทึ่งขึ้นมาได้
...
ความสำเร็จจากการขาย ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ อดีตผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ได้กลับมาร่วมงานกับกลุ่มเจ้าของ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (FSG) อีกครั้ง กับบทบาท CEO ฝ่ายฟุตบอล เมื่อเดือนมีนาคม 2024 โดย เอ็ดเวิร์ดส์ มีสถิติที่โดดเด่นเอามาก ๆ ในเรื่องการปล่อยนักเตะได้ค่าตัวมหาศาล
ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่ถูกขายให้ บาร์เซโลน่า ตอนปี 2018 ด้วยราคา 142 ล้านปอนด์ คือดีลที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่าประทับใจไม่แพ้กันก็คือการที่ เอ็ดเวิร์ดส์ ทำเงินก้อนโตจากนักเตะอย่าง จอร์ดอน ไอบ์, แบร็ด สมิธ, เควิน สจ๊วร์ต, แดนนี่ วอร์ด, มามาดู ซาโก้, ริอาน บริวสเตอร์, แฮร์รี่ วิลสัน และ เนโก วิลเลี่ยมส์
โดยที่ ลิเวอร์พูล ไม่รู้สึกเสียดายใครเลยแม้แต่คนเดียว แถมยังใช้เงินที่ได้จากการขายเหล่านี้กลับมาสร้างทีมที่กลายมาเป็นขุมกำลังสำคัญของ เจอร์เก้น คล็อปป์
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในการสานต่องานขายนักเตะคือ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการกีฬาคนปัจจุบัน
ฮิวจ์ส นำเงินเข้าสโมสรได้ราว 290 ล้านปอนด์ตลอดช่วงสามตลาดซื้อขายหลังสุด และยังคงรักษาสถิติการขายที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยู่ บอร์นมัธ สโมสรเก่า
โดมินิค โซลันกี้, นาธาน อาเก้, อารอน แรมส์เดล, ไทโรน มิงส์ และ อาร์เนาต์ ดานจูม่า คือบรรดานักเตะที่ ฮิวจ์ส ซื้อมาปั้นแล้วขายต่อด้วยกำไรงาม ๆ
และหลังย้ายออกมา นักเตะที่เขาเป็นคนดึงเข้ามาอย่าง อิลลิย่า ซาบาร์นยี่, ดังโก้ วาตตาร่า และ มิลอส เคอร์เคซ ก็ยังถูกขายออกไปด้วยเงินก้อนโต
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ดำเนินงานในตลาดที่แตกต่างจาก บอร์นมัธ แต่ก็ยังมีความคล้ายคลึงกันบนแนวทางที่ ฮิวจ์ส เลือกใช้กับทั้งสองสโมสร
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เบน โด๊ค ปีกวัย 19 ปี ที่ ลิเวอร์พูล คว้าตัวมาด้วยราคาเพียง 600,000 ปอนด์ เมื่อสามปีก่อน
แม้เขาจะได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ไปเพียงสามนัด แต่ ฮิวจ์ส และสโมสรต่างทราบดีว่ามีทีมที่รองรับเพื่อดึง โด๊ค ไป เพราะฤดูกาลก่อน พวกเขาเคยปฏิเสธข้อเสนอจาก คริสตัล พาเลซ และ อิปสวิช ทาวน์ มาแล้ว
ซัมเมอร์ล่าสุด ฮิวจ์ส ได้รับสายจากหลายสโมสร รวมถึง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ต้องการยืมตัว แต่ ลิเวอร์พูล รับฟังเฉพาะข้อเสนอซื้อขาดเท่านั้น
จริง ๆ หากไม่ได้ค่าตัวตามที่ตั้งไว้ ลิเวอร์พูล ก็พร้อมจะเก็บ โด๊ค ไว้ใช้งานเป็นทางเลือกเพื่อโรเทชั่น ซึ่งท่าทีดังกล่าว มีผลทำให้มูลค่านักเตะพุ่งสูงขึ้นไปโดยปริยาย
เมื่อ บอร์นมัธ ยื่นข้อเสนอที่ 20 ล้านปอนด์ บวกออปชันเพิ่มเป็น 25 ล้านปอนด์ นั่นคือตัวเลขที่ ลิเวอร์พูล พอใจ จึงตัดสินใจขาย โด๊ค ออกไป โดยใส่เงื่อนไขซื้อกลับ (buyback clause) เอาไว้ เพื่อให้ ลิเวอร์พูล ยังคงมีอำนาจบางส่วน หาก โด๊ค พัฒนาฝีเท้าขึ้นไปถึงศักยภาพสูงสุด
การจัดการดูแล โด๊ค อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการปล่อยยืมตัวไป มิดเดิลสโบรห์ เมื่อฤดูกาลก่อนที่เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ยิ่งช่วยเสริมให้ ลิเวอร์พูล อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งยามต้องต่อรอง
การปล่อยนักเตะยืมตัวของ ลิเวอร์พูล ทุกครั้ง ล้วนถูกวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ โดยใช้เกณฑ์หลายด้านเข้ามาพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็น ความเข้ากันได้ในเชิงสไตล์การเล่น, ประวัติของสโมสรปลายทางในการดูแลนักเตะยืมตัวที่ผ่านมา, โอกาสที่นักเตะจะได้ลงสนามจริง, ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่สโมสรนั้น ๆ สามารถมอบให้ผู้เล่นได้
ทั้งนี้ จะมีคณะผู้แทนจากสโมสรถูกส่งไปตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวกของสโมสรปลายทาง และนักเตะที่ถูกปล่อยยืมก็จะถูกคนในสโมสรเยี่ยมเยียนถึงที่ตอนระหว่างฤดูกาล
ตัวอย่างคือ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทั้ง ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ และ จูเลี่ยน วอร์ด ผู้อำนวยการเทคนิค FSG ได้เดินทางไปหา โด๊ค ที่ มิดเดิลสโบรห์ ด้วยตนเอง
"สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีมากคือการสร้างนักเตะให้มีคุณค่าและเพิ่มมูลค่าได้ด้วย" ตัวแทนของนักเตะชุดใหญ่รายหนึ่งในทีมกล่าว
แนวทางของ FSG ตั้งแต่แรกคือการสร้างโมเดลที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และโครงสร้างบริหารของสโมสรก็มั่นคงชัดเจน
เอ็ดเวิร์ดส์ รายงานตรงต่อบอร์ดบริหาร FSG
ฮิวจ์ส รายงานต่อ เอ็ดเวิร์ดส์
และเฮดโค้ชอาร์เน่อ รายงานต่อ ฮิวจ์ส โดยทั้งคู่จะคุยกันวันละหลายครั้งในช่วงตลาดซื้อขาย เพื่อหารือเรื่องการซื้อนักเตะ, การขาย และการเจรจาสัญญา
ขั้นตอนการมีส่วนร่วมของแต่ละคนในทีมผู้บริหารระดับสูงกับดีลการขายขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของดีลนั้น ๆ
สำหรับ อาร์เน่อ บทบาทของเขาที่ แอนฟิลด์ แตกต่างจากตอนคุมทีม อาแซด อัล์คมาร์ และเฟเยนูร์ด ซึ่งที่นั่นเขารู้ดีว่าผู้เล่นตัวหลักจะถูกขายทันทีหากสโมสรใหญ่ยื่นข้อเสนอเข้ามา
แต่ที่ ลิเวอร์พูล หากเขาต้องการเก็บนักเตะไว้ แรงกดดันแบบนั้นไม่มีเลย
ถึงกระนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ สุขภาพทางการเงินของสโมสร
แล้วประเด็นที่สะท้อนให้เห็นชัดมากที่สุดคือการขาย หลุยส์ ดิอาซ
อาร์เน่อ มีความสุขกับการทำงานร่วมกับดาวเตะโคลอมเบีย มาตลอด
ผู้บริหาร ลิเวอร์พูล ก็ยืนยันหนักแน่นว่า ดิอาซ จะไม่ถูกขายออกไป พวกเขาปฏิเสธความสนใจจาก ซาอุดีอาระเบีย, ตอบปัดข้อเสนอจาก บาร์เซโลน่า และตอนช่วงแรกยังส่งสัญญาณชัดเจนผ่าน ฮิวจ์สไปถึง บาเยิร์น มิวนิค ว่าไม่มีความคิดจะปล่อยออกไป
แต่ปัจจัยซับซ้อนอยู่ที่ตัว ดิอาซ เอง ซึ่งเคยแสดงความต้องการย้ายออกในบางช่วง หลังไม่สามารถตกลงสัญญาฉบับใหม่ได้ และท้ายที่สุดก็ตอนที่ บาเยิร์น ยื่นข้อเสนอเพิ่มเป็น 75 ล้านยูโร (แพงสุดอันดับ 3 ของสโมสร) ลิเวอร์พูล จึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องตอบรับ
เมื่อทีมงานฝ่ายข้อมูลคำนวณออกมาแล้ว พบว่า มีเพียงนักเตะอายุเกิน 28 ปีแค่ 7 คนเท่านั้น ที่ย้ายสโมสรด้วยค่าตัวที่สูงกว่านี้
สโมสรจึงมองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการทำเงินที่คุ้มค่า โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการเข้ามาของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ และ อูโก้ เอกิติเก้, การแจ้งเกิดของ ริโอ เอ็นกูโมฮา รวมไปถึงการที่ทีมยังคงติดตามสถานการณ์ของ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ต่อเนื่อง (ณ เวลานั้น)
บาเยิร์น มิวนิค แทบไม่ต้องการการโน้มน้าวใด ๆ เลยในการยอมรับคุณภาพฝีเท้าของ ดิอาซ แต่สิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล โดดเด่นจากทีมอื่น ๆ ก็คือ ศิลปะในการขายนักเตะที่ไม่ใช่ตัวหลักออกไปด้วยมูลค่ามหาศาล
เมื่อนำค่าตัวเหล่านั้นมารวมกัน ก็ช่วยอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมพวกเขาถึงสามารถขยับตัวในตลาดซื้อขายนักเตะได้อย่างคล่องตัวตลอดซัมเมอร์นี้
ปีก่อน ลิเวอร์พูล สามารถขายนักเตะสำรองอย่าง เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ให้ เบรนท์ฟอร์ด ที่มีมูลค่ารวมกันถึง 52.5 ล้านปอนด์ ทั้งที่ ฟาน เดน เบิร์ก ยังไม่เคยลงเล่น พรีเมียร์ลีก เลยสักนัด ส่วน คาร์วัลโญ มีแค่ตัวเลขลงเล่นลีกสูงสุด อังกฤษ 13 เกมติดตัว
การหาข้อตกลงที่เหมาะสมเพื่อจะปล่อย ฟาน เดน เบิร์ก จำเป็นต้องอาศัยการเจรจาอย่างหนัก ขนาดตัวนักเตะเอง ยังแทบไม่เชื่อว่าเขาจะมีค่าตัวมากขนาดนั้น
"ถ้าคุณอยากย้ายออกด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ มันก็เป็นค่าตัวที่สูงอยู่นะ" ฟาน เดน เบิร์ก เคยให้สัมภาษณ์กับ The Athletic ระหว่างทัวร์ปรีซีซันที่ สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024
"ปฏิกิริยาแรกของผมคือ มันแพงไปหน่อย! แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ถือเป็นเรื่องดีแหละ"
ท่าทีแรกของ เบรนท์ฟอร์ด คือไม่เต็มใจจ่ายค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ออปชันเพิ่ม 5 ล้านปอนด์) แต่ ฮิวจ์ส ก็จัดทำข้อมูลเพื่อชี้ให้เห็นว่ากองหลังที่มีโปรไฟล์ใกล้เคียงกัน ต่างก็ถูกขายได้ในระดับราคาเดียวกัน
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการที่ ลิเวอร์พูล ใช้ระบบการปล่อยยืมตัวอย่างชาญฉลาดในการเพิ่มมูลค่านักเตะ โดยเฉพาะเมื่อ ฟาน เดน เบิร์ก ทำผลงานได้แบบก้าวกระโดดกับ ไมนซ์ ในศึก บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2023/24
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือในตัว ฮิวจ์ส คือจำนวนครั้งที่เขาสามารถทำธุรกิจกับสโมสรเดิม ๆ ได้บ่อยครั้ง
ความเชื่อใจที่สร้างขึ้นจากการเจรจากับ เบรนท์ฟอร์ด ยังช่วยให้ดีลขาย เคลเลเฮอร์ เกิดขึ้นในซัมเมอร์นี้ ด้วยค่าตัวที่อาจสูงถึง 18 ล้านปอนด์
และเมื่อพิจารณาว่า เคลเลเฮอร์ เหลือสัญญาอีกเพียงปีเดียว การขายครั้งนี้ถือว่าเป็นการทำธุรกิจที่ดี โดย ลิเวอร์พูล ได้เซ็น จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ เข้ามาเป็นแบ็กอัพของ อลีสซง เบ็คเกอร์ ไว้แล้ว
ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นยังเกิดขึ้นกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เช่นกัน ฮิวจ์ส เข้ากันได้อย่างราบรื่นกับซีอีโอ ไซมอน โรลเฟส ระหว่างการเจรจาดีล เวียร์ตซ์
ทั้งคู่สร้างความเข้าใจร่วมกันได้อย่างชัดเจน ว่าดีลจำเป็นต้องถูกจัดโครงสร้างอย่างไร เพื่อให้เป็นที่พอใจของผู้บริหารแต่ละฝั่ง
ฝั่ง ลิเวอร์พูล ตัวเลขต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่ FSG กำหนด ขณะเดียวกัน โรลเฟส ก็ต้องแสดงให้บอร์ดบริหาร เลเวอร์คูเซ่น เห็นว่า แม้จะต้องปล่อยผู้เล่นคนสำคัญออกไป แต่ก็สามารถทำราคาขายได้สูงมากพอ
ดีลของ ควอนซาห์ แม้จะแยกออกจากการเจรจากับ เวียร์ตซ์ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพูดคุยกันอย่างยาวนาน
ลิเวอร์พูล ยกตัวอย่างค่าตัวของกองหลังรายอื่น ๆ เช่น จาร์ราด แบรนธ์เวต ของ เอฟเวอร์ตัน ที่เคยได้รับข้อเสนอจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สูงถึง 43 ล้านปอนด์เมื่อซัมเมอร์ปี 2024 มาใช้เป็นเหตุผลสำหรับการยืนกราน เพื่อยืนยันว่า ควอนซาห์ มีมูลค่าสูง และยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อเขาใกล้การติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่เต็มที
เมื่อถึงเวลาปิดดีล โครงสร้างสัญญาคือกุญแจสำคัญ การใส่เงื่อนไขซื้อกลับ (buyback clause) ช่วยให้ เลเวอร์คูเซ่น จ่ายค่าตัวน้อยลง
แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อธิบายได้ว่า ทำไม ลิเวอร์พูล ถึงยอมปล่อยผู้เล่นระดับทีมชุดใหญ่ออกไป
สำหรับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ก็เป็นเคสคล้ายกัน เมื่อเขาย้ายไป แอสตัน วิลล่า ตอนวันปิดตลาด ด้วยสัญญายืมหนึ่งฤดูกาล พร้อมเงื่อนไขบังคับซื้อ หากลงเล่นครบ 10 นัด ฤดูกาลนี้
ตอนแรก ลิเวอร์พูล ประเมินค่าตัว เอลเลียตต์ ไว้ที่ 50 ล้านปอนด์ แต่ก็ยอมปล่อยไปด้วยแพ็กเกจราว 35 ล้านปอนด์ โดยมีเงื่อนไขซื้อกลับ และส่วนแบ่งการขายต่อที่เป็นประโยชน์ต่อสโมสร
เมื่อการมาของ อิซัค, เอกิติเก้, เวียร์ตซ์ และ ฟริมปง ทำให้ตำแหน่งของ เอลเลียตต์ ถูกดันลงไปอยู่ลำดับหลัง ๆ
ลิเวอร์พูล จึงมองว่าการปล่อยไปอยู่กับคู่แข่งสำคัญในลีกสามารถช่วยให้ เอลเลียตต์ เติบโตและเพิ่มมูลค่าได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อสโมสรในระยะยาว เพราะยังสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความสำเร็จในอนาคตของตัวนักเตะได้อยู่ดี
...
บรรดาสโมสรคู่แข่งต่างทราบดีว่า การก้าวเข้าสู่โต๊ะเจรจากับ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพวกเขากำลังต่อรองกับทีมที่วางหมากรอบคอบและรู้เกมธุรกิจเป็นอย่างดี
เอ็ดเวิร์ดส์ คือชื่อที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากผลงานในระดับแถวหน้าของวงการฟุตบอล
ขณะที่ ฮิวจ์ส ก็สร้างเครือข่ายแน่นแฟ้นกับบรรดาเอเยนต์ผู้ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่ยุค บอร์นมัธ ทำให้ทุกดีลของ ลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและยากจะต่อรองในราคาที่ต่ำกว่าที่สโมสรต้องการ
คำบอกเล่าจากตัวแทนนักเตะต่างสะท้อนภาพลักษณ์ที่ตรงกัน ฮิวจ์ส เป็นคนที่ขยันและรู้ตลาดทะลุปรุโปร่ง
หลายคนบอกว่าเขายุติธรรมและเข้าใจผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกัน หากต้องปกป้องผลประโยชน์ของสโมสร ฮิวจ์ส ก็พร้อมจะแข็งกร้าวแบบไม่ยอมอ่อนข้อ
นี่คือภาพลักษณ์ของนักเจรจาที่ทั้งน่านับถือและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน
อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญของโครงสร้างใหม่ ลิเวอร์พูล ชื่อของ แมตต์ นิวเบอร์รี่ ก็ไม่ควรจะถูกมองข้ามไป
อดีตหัวหน้าฝ่ายสรรหานักเตะซีเนียร์และผู้ดูแลระบบยืมตัวของอะคาเดมี่ วันนี้เขาก้าวขึ้นมามีบทบาทในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายจัดการเส้นทางและโอกาสของนักเตะทั่วโลก
หน้าที่ของเขาไม่ได้เป็นเพียงการหาสโมสรชั่วคราวให้นักเตะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ แต่ยังเป็นการวางหมากระยะยาว เพื่อเพิ่มมูลค่าก่อนขายขาดในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกการตัดสินใจที่เดินไปบนเส้นทางราบรื่น โดยเฉพาะ ฮิวจ์ส ที่ต้องเลือกเส้นทางซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ในภายหลัง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการปฏิเสธที่จะปล่อย ไทเลอร์ มอร์ตัน ออกไปแบบยืมตัวเมื่อฤดูกาลก่อน ทั้งที่ เลเวอร์คูเซ่น เคยยื่นความสนใจเข้ามา
สาเหตุสำคัญมาจากการที่ตอนนั้น ลิเวอร์พูล พลาดตัว มาร์ติน ซูบีเมนดี้ สโมสรจึงปรับกลยุทธ์ใหม่ว่า มอร์ตัน จะได้รับอนุญาตให้ออกจากทีมก็ต่อเมื่อเป็นการขายขาดเท่านั้น หากไม่เช่นนั้น เขาจะถูกเก็บไว้เป็นตัวสำรองทีมชุดใหญ่
และเมื่อถึงซัมเมอร์ปีนี้ ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น ดีลย้ายทีมของ มอร์ตัน ไปยัง โอลิมปิก ลียง จบลงที่ค่าตัว 8.6 ล้านปอนด์ บวกออปชันเพิ่มเป็น 13 ล้านปอนด์
ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าคลัง แต่ยังตอกย้ำให้เห็นถึงความเด็ดขาดของ ฮิวจ์ส ว่าเขาพร้อมเลือกเส้นทางที่อาจยาก แต่สอดคล้องกับทิศทางการสร้างทีมอย่างยั่งยืนของ ลิเวอร์พูล
ฮิวจ์ส ยังเป็นคนที่ขัดขวางไม่ให้ วีเตซสลาฟ ยารอส ผู้รักษาประตูสำรอง ย้ายออกไปเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับสถิติอาการบาดเจ็บของ อลีสซง
ตอนนั้น ยารอส เพิ่งพา สตรวม กราซ คว้าแชมป์ลีกกับบอลถ้วย ออสเตรีย และมีความกระหายโอกาสลงสนาม แต่การอยู่ต่อกลับกลายเป็นสิ่งที่มีค่า เพราะเขาได้รับการโปรโมทขึ้นมาเป็นมือสอง ระหว่างที่ อลีสซง ต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บสองเดือน
การอธิบายกระบวนการอย่างละเอียด พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าโอกาสย้ายออกในซัมเมอร์ถัดไปมีความเป็นไปได้สูง ช่วยทำให้ทั้งนักเตะยังคงมีแรงจูงใจ ซึ่งขณะเดียวกันก็สร้างความสนใจจากสโมสรอื่น ๆ มากขึ้น
แล้วตอนตลาดที่่ผ่านมา ยารอส วัย 24 ปี ได้ย้ายไปร่วมทัพ อาแจ็กซ์ ด้วยสัญญายืมตัว และมีโอกาสที่จะเป็นอีกหนึ่งผลผลิตจากอะคาเดมี่ที่อาจจะถูกขายออกไปด้วยกำไรที่งดงาม
เช่นเดียวกับ ลูอิส คูมาส ที่ถูก เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ยืมตัวไปตลอดทั้งฤดูกาลโดยไม่มีเงื่อนไขซื้อขาด เพราะ ลิเวอร์พูล มองว่าหากแข้งวัย 19 ปีทำผลงานได้ดี มูลค่าของเขาก็จะสูงขึ้นอีก
ลิเวอร์พูลยังมีโอกาสที่จะขายนักเตะคนอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เจมส์ แม็คคอนเนลล์, โอเว่น เบ็ค และ ลูก้า สตีเฟนสัน แต่สโมสรก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่า หากไม่ได้ค่าตัวตามที่ประเมินไว้ จะไม่มีทางขายในราคาถูก
สุดท้ายนักเตะทั้งหมดจึงถูกปล่อยออกไปในรูปแบบการยืมตัว
นี่คือกลยุทธ์ระยะยาวที่กำลังสร้างผลตอบแทนในเวลานี้ มีเพียง เชลซี และ บอร์นมัธ เท่านั้นที่ทำเงินจากการขายนักเตะได้มากกว่า ลิเวอร์พูล ในซัมเมอร์นี้
โดยกรณีของ เชลซี หลายการขายเป็นการขาดทุน(เกปา อาร์ริซาบาราก้า, เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่ ฮอลล์, เชา เฟลิกซ์, คริสตอฟเฟอร์ เอ็นคุนคู) ขณะที่ บอร์นมัธ ต้องแลกมาด้วยการปล่อยขุมกำลังตัวหลักออกไป
สโมสรยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ได้มองความสามารถของ ลิเวอร์พูล ในการปิดดีลนักเตะราคาสูง โดยเฉพาะ อาร์เซน่อล ที่สถิติการขายนักเตะสูงสุดยังคงเป็นการปล่อย อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ให้ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ตั้งแต่ปี 2017
ขณะเดียว ลิเวอร์พูล เองสามารถขายนักเตะได้มากถึงเจ็ดรายที่มีค่าตัวสูงกว่าตัวเลขดังกล่าว นับตั้งแต่นั้นมา
ฤดูกาลใหม่นี้อาจเป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล พิสูจน์ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องหมายถึงการอ่อนแอลง
ตรงกันข้าม มันกลับทำให้พวกเขาพร้อมก้าวต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ทั้งในสนามแข่งขันและบนเวทีธุรกิจ เดินหน้าเคียงข้างกันอย่างมั่นคง
HOSSALONSO