อนาคตยังสดใส! 5 บทเรียนสำคัญที่ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ต้องพิสูจน์กับ ลิเวอร์พูล

อนาคตยังสดใส! 5 บทเรียนสำคัญที่ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ต้องพิสูจน์กับ ลิเวอร์พูล
คอเนอร์ แบรดลี่ย์ แบ็กขวาดาวรุ่ง ลิเวอร์พูล เจอความท้าทายครั้งใหญ่หลังการมาของ เจเรมี่ ฟริมปง และปัญหาบาดเจ็บรบกวน ต้องพิสูจน์ 5 ปัจจัยสำคัญเพื่อยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมของ อาร์เน่อ สล็อต

เมื่อไม่นานมานี้เอง คอนอร์ แบรดลี่ย์ ดูเหมือนจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกหลักในตำแหน่งแบ็กขวา หลัง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อำลา ลิเวอร์พูล แต่สถานการณ์หลายอย่างทำให้อนาคตของเขาเริ่มไม่แน่นอน

แบรดลี่ย์ ทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมของ เทรนต์ มาตลอดในช่วงที่ผ่านมา และบทบาทของเขาก็โดดเด่นมากๆ โดยเฉพาะสไตล์การเล่นที่แตกต่างจาก แบ็กขวาเท้าชั่งทอง ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" เชื่อมั่นว่านี่คือผู้สืบทอดตำแหน่งแบ็กขวาคนต่อไปของ "หงส์แดง"

การเล่นด้วยความมั่นใจและเด็ดขาด ทั้งการเล่นเกมรับที่แข็งแกร่ง การเติมเกมรุกอย่างมีพลัง และการเปิดบอลที่มีเป้าหมายชัดเจน นั่นทำให้เขาเป็นอนาคตใหม่ของสโมสร แต่ด้วยปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง และการมาของ เจเรมี่ ฟริมปง นั่นทำให้ แบรดลี่ย์ ต้องเจอกับสถานการณ์กดดันในการแย่งตำแหน่งตัวจริง 

สำหรับการสร้างทีมใหม่ของโค้ชอาร์เน่อ สล็อต มีการเสริมทัพหลายตำแหน่ง และการแข่งขันภายในทีมก็เข้มข้นมากขึ้น แล้ว แบรดลี่ย์ ต้องเจอกับอะไรบ้างและควรทำยังไงเพื่อที่จะกลับมาcในตำแหน่งตัวเลือกแรกแบ็กขวา !!

1. การแข่งขันครั้งใหม่ 

การมาของ ฟริมปง ช่วงซัมเมอร์นี้ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น มันไม่ได้ลบล้างความเชื่อมั่นในตัวแบรดลี่ย์ หรือทำให้ผลงานของเขาดูด้อยลง แต่กลับเปลี่ยนแปลงภาพรวมของทีมไปพอสมควร

ดาวเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ย้ายมาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ด้วยศักยภาพเต็มเปี่ยม โดยเขาเป็นนักเตะพร้อมใช้งาน, เต็มเปี่ยมด้วยความรวดเร็ว, มีประสบการณ์, พัฒนาทักษะด้านแท็กติกมาอย่างดี และกำลังเข้าสู่ช่วงพีคของอาชีพ

แน่นอนว่าการมาของ ฟริมปง ทำให้ แบรดลี่ย์ ต้องพบกับความท้าทายครั้งใหม่ในการแย่งตำแหน่งแบ็กขวา แต่ ดาวเตะชาวไอร์แลนด์เหนือ ดันดวงแตกมีปัญหาบาดเจ็บทำพลาดลงสนามในช่วงต้นฤดูกาลนี้ 

สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ แบรดลี่ย์ จะก้าวขึ้นมาเป็นผุ้เล่นที่โค้ชอาร์เน่อ ไว้วางใจได้หรือไม่ ไม่ใช่แค่ในวันที่ทำผลงานได้ดีเท่านั้น แต่ยังต้องมีความสม่ำเสมอในทุกๆ สัปดาห์ เมื่อต้องลงเล่นในทุกรายการ, ทุกเดือน และต้องพบกับความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังคงรักษาความคงเส้นคงวาได้

 ดังนั้นความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ตัวกำหนดว่าใครจะได้เล่นกับทีม แต่การมีสภาพร่างกายที่พร้อมลงสนาม, ความทุ่มเท และความมุ่งมั่นที่จะยึดตำแหน่งตัวจริง เป็นสิ่งสำคัญมากๆ และนี่คือสิ่งที่ แบรดลี่ย์ ต้องเจอ ซึ่งเป็นความท้าทายที่เขาก็เคยเผชิญมาแล้วในยุคที่มี เทรนต์ อยู่ 

2. ศึกษากรณีของ เจมี่ คาร์ราเกอร์

มีเส้นทางหนึ่งในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล ที่ แบรดลี่ย์ ควรศึกษาดีๆ และเส้นทางนั้นเป็นของเจมี่ คาร์รากเกอร์ ตำนานกองหลังสารพัดประโยชน์ที่เติบโตจากอะคาเดมี่จนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม

ทั้งสองคนมีความแตกต่างทั้งสไตล์การเล่นและตำแหน่ง โดย "คาร์ร่า" เริ่มต้นอาชีพด้วยตำแหน่งฟูลแบ็กก่อนจะกลายเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวหลัก ขณะที่ แบรดลี่ย์ เป็นแบ็กขวาธรรมชาติซึ่งมีสัญชาติญาตในการเล่นเกมรุกที่โดดเด่น 

ความเหมือนกันนั้นไม่ได้จำกัดเพียงตำแหน่ง คาร์รากเกอร์ก้าวขึ้นสู่ทีมที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเช่นเดียวกับแบรดลี่ย์ ที่รู้ว่าสโมสรพยายามยกระดับเกมรับให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ 

ในช่วงระหว่างปี 2000-2004 ลิเวอร์พูล เซ็นแข้งชั้นนำมาร่วมทีมทั้ง มาร์คุส บับเบิ้ล, อเบล ซาเวียร์, คริสเตียน ซีเก้, เฌเรมี่ ตราโอเร่,  เกรกอรี วิญอล และ ยอร์น อาร์เน่ รีเซ่ แข้งเหล่านี้ทำให้ คาร์ราเกอร์ ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดัน แต่ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งเขาได้

คาร์รากเกอร์ ไม่ได้มีเทคนิคที่โดดเด่น แต่เขามีความฟิตเสมอ พร้อมลงสนามตลอดเวลา เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และที่สำคัญเขาพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เขาปรับตัวได้ดี และเมื่อถูกเรียกให้เล่นในตำแหน่งอื่นๆ ในแนวรับ ก็ทำได้อย่างน่าเชื่อถือในขณะที่คนอื่นอาจทำไม่ได้

ความแข็งแกร่งของเขากลายเป็นเหมือนอาวุธ โดยเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บหนักเพียงครั้งเดียวตลอดอาชีพที่ลิเวอร์พูล คือกระดูกขาหักในปี 2003 นอกเหนือจากนั้น เขาแทบไม่พลาดการลงสนามเลย

คาร์ราเกอร์ จบอาชีพของเขากับ "เดอะ เร้ดส์" ด้วยสถิติลงสนาม 737 เกมให้กับสโมสร ดังนั้น แบรดลี่ย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษามาตรฐานและความแข็งแกร่งของสภาพร่างกายเพื่อให้พร้อมแข่งขันแย่งตำแหน่ง และยึดตัวจริงให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

ประเด็นไม่ใช่การเปลี่ยนแบรดลีย์ให้เหมือนคาร์รากเกอร์ แต่คือการเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรถึงจะอยู่รอดในทีม ลิเวอร์พูลมักเซ็นสัญญานักเตะในตำแหน่งเดียวกัน สิ่งสำคัญคือการอยู่รอดให้ยาวนานเกินกว่าที่พวกเขาจะมีวัตถุประสงค์แทนที่คุณ

3. สถิติบาดเจ็บของ แบรดลี่ย์ 

แม้ ฟริมปง จะมีจุดเด่นในเรื่องความเร็ว และการเล่นเกมบุกที่ดุดันมากกว่า แต่ แบรดลี่ย์ กลับให้ความสมดุลที่ดีกว่า พร้อมทั้งมีสไตล์การเล่นที่รัดกุมและมีวินัยในตำแหน่งของตัวเอง

แบรดลี่ย์ แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่ยอดเยี่ยมมาตลอด โดยเฉพาะจังหวะที่เอาชนะการดวลตัวต่อตัวมากกว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และเข้าสกัดบ่อยกว่า แฟนบอล "หงส์แดง" คงจำจังหวะดวลกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ได้ มันเจ๋งสุดๆ !

เขาวิ่งเพรสคู่แข่งได้อย่างฉลาดหลักแหลม และเปิดบอลได้ดี ขณะที่เกมรับถือว่าทำได้โดดเด่นการ เทรนต์ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงนั่นก็คือปัญหาบาดเจ็บ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเจ้าตัวต้องเจอกับสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับตอนนี้ แบรดลี่ย์ มีโอกาสดีมากๆ หากเขาฟิตเต็มร้อย เนื่องจาก  ฟริมปง ต้องพักเพราะบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาหลัง ซึ่งจะทำให้เขาพลาดลงสนามอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ส่วน โจ โกเมซ แม้จะมีคุณสมบัติหลายอย่าง แต่ยังน่าเป็นห่วงเพราะประวัติอาการบาดเจ็บ 

ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับ แบรดลี่ย์ ก็คือการมีสภาพร่างกายที่พร้อมลงสนามควบคู่กับศักยภาพของตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก 

4. ทัศนคติและคุณสมบัติที่เหมาะสม

จุดเด่นที่เห็นได้ชัดในตัวของ แบรดลี่ย์ นั่นก็คือการมีทัศนคิตที่เหมาะสม โดยเขาเติบโตมาพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล และเป็นตัวหลักของสโมสรที่ยิ่งใหญ่

เด็กน้อยจากคาสเทิลเดิร์ก กำลังลงเล่นให้กับสโมสรที่เขารัก และเสื้อสโมสรในวัยเด็กของเขายังคงแขวนอยู่ในครัวของพ่อแม่ โดยโค้ชเยาวชนของเจ้าตัวเคยให้คำนิยามที่น่าสนใจมากๆ ว่า แบรดลี่ย์ "เป็นเด็กที่เกิดมาเพื่อเล่นให้ ลิเวอร์พูล"

ในยุคปัจจุบัน นักเตะส่วนใหญ่จะมีความสามารถสูงแต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอีโก้ แต่สำหรับ แบรดลีย์ กลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะเขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นพร้อมกับการอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ 

สิ่งนี้อาจเป็นข้อได้เปรียบ แต่มันจะมีประโยชน์มากขึ้นหากนักเตะเต็มไปด้วยสภาพความฟิต โค้ชอาร์เน่อ อาจชื่นชมความมุ่งมั่น และนิสัยส่วนตัวเขา แต่การเลือกนักเตะขึ้นอยู่กับความพร้อมลงสนาม หาก แบรดลี่ย์ อยากก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นชั้นยอด เขาจำเป็นต้องกลายเป็นตัวหลักที่ไว้วางใจให้ได้

5. ความท้าทายเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญ

ความท้าทายในตอนนี้คือการต้องแข่งขันเพื่อให้ได้เป็นตัวเลือกหลัก แน่นอนว่าอาชีพของ แบรดลี่ย์ กับลิเวอร์พูล ไม่มีอะไรต้องสงสัย แต่มันเข้าสุ่จุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก  

ความฝันที่จะเข้ามาแทนที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อย่างราบรื่นต้องสะดุด แม้จะไม่ได้หายไป แต่ถูกเลื่อนออกไป และนั่นเปลี่ยนทุกอย่าง เนื่องจากทีมมีการเสริมแกร่งในแนวรับ และนำไปสู่การแข่งขันภายในทีม

แบรดลี่ย์ ไม่ได้สิทธิ์พิเศษที่จะรับช่วงต่อตำแหน่งแบ็กขวา โดยเขาจำเป็นต้องเอาชนะคู่แข่งภายในทีมเพื่อยึดตำแหน่งนี้มาให้ได้ และต้องรักษาตำแหน่งเอาไว้ให้ได้ทุกสัปดาห์ เหมือนที่ คาร์ราเกอร์ เคยทำได้

โค้ชอาร์เน่อ ให้ความสำคัญกับการโรเตชั่น แต่ก็ใส่ใจเรื่องจังหวะการเล่นเช่นกัน ถ้า แบรดลี่ย์ อยากเล่น 30, 40 หรือ 50 เกมต่อซีซั่น เขาต้องแก้ไขเรื่องสภาพความฟิต เพื่อยึดตำแหน่งให้นานที่สุด

ประเด็นสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการเปรียบเทียบอีกต่อไป ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเขาเก่งกว่า เทรนต์, ฟริมปง หรือใครก็ตามที่จะย้ายเข้ามาใหม่ แต่มันเกี่ยวกับการที่ แบรดลี่ย์ จะยึดตัวจริงได้ไหมเมื่อถึงเวลาสำคัญ



ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport