รวยมาจากไหน! 5 ประเด็นร้อนตลาดนักเตะพรีเมียร์ลีก ซัมเมอร์ 2025

รวยมาจากไหน! 5 ประเด็นร้อนตลาดนักเตะพรีเมียร์ลีก ซัมเมอร์ 2025
พรีเมียร์ลีก ทุ่มรวม 3.19 พันล้านปอนด์ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติใหม่ อาร์เซน่อล ติดลบสุทธิมากสุด ขณะที่ เชลซี โกยเงินขายทะลุ 266 ล้านปอนด์

ต้องบอกว่าซัมเมอร์นี้สโมสรในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สร้างปรากฎการณ์การใช้เงินเสริมทัพมหาศาลรวมกว่า 3.19 พันล้านปอนด์ (ราว 140,360 ล้านบาท) มากที่สุดใน 5 ลีกชั้นนำยุโรปแบบไม่เห็นฝุ่น

แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเรื่องการเสริมทัพ เพราะพวกเขาสร้างสถิติเซ็นสัญญานักเตะแพงสุดในอังกฤษถึง 2 ครั้งในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาสามารถสร้างสมดุลด้วยการขายผู้เล่นไปได้เยอะพอสมควรทำให้รายจ่ายสุทธิแม้จะติดลบแต่ก็ไม่ผิดกฎการเงิน หรือ "ไฟแนลเชียล แฟร์ เพลย์"

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจในการเสริมแกร่งตลาดซัมเมอร์คงหนีไม่พ้นการใช้เงินเพื่อเซ็นสัญญากองหน้า โดยมีมากกว่า 60 เปอร์เซนต์จากเม็ดเงินทั้งหมดที่สโมสรในพรีเมียร์ใช้ไป 

ดังนั้นบทความนี้จะเป็นบทสรุปที่น่าสนใจสำหรับตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้ ส่วนจะมีประเด็นอะไรบ้างไปพิจารณากันได้เลย 

- ลิเวอร์พูล ทำลายสถิติเสริมทัพเมืองผู้ดี

ลิเวอร์พูล พลาดได้ตัว มาร์ค เกฮี จาก คริสตัล พาเลซ ในช่วงนาทีสุดท้ายของเดดไลน์ตลาดนักเตะ แต่กระนั้นพวกเขายังคงเป็นสโมสรที่ใช้เงินมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

พวกเขาทุ่มเงินเป็นสถิติเกาะอังกฤษ จำนวน 125 ล้านปอนด์ (ราว 5,940 ล้านบาท) ในการคว้าตัว อเล็กซานเดอร์ อีซัค มาจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทำให้ทีมใช้เงินไปทั้งหมด 442 ล้านปอนด์ (ราว 19,448 ล้านบาท) แซงหน้า เชลซี ที่ใช้เงินไป 434.5 ล้านปอนด์ (ราว 19,118 ล้านบาท)  เมื่อซัมเมอร์ 2023 

นอกจากดีล อีซัค แล้ว ลิเวอร์พูล ยังทุ่มเงินเป็นสถิติเกาะอังกฤษก่อนหน้านั้นไม่กี่สัปดาห์นั่นก็คือการเซ็น ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มาจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จำนวน 116 ล้านปอนด์ (ราว 5,104 ล้านบาท) 

ขณะเดียวกันพวกเขายังเซ็นสัญญากับ  อูโก้ เอกิติเก้ (69 ล้านปอนด์),  มิลอส เคอร์เคซ (40 ล้านปอนด์), เจเรมี่ ฟริมปง (29.5 ล้านปอนด์), โจวานนี่ เลโอนี่ (26 ล้านปอนด์), จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ (30 ล้านปอนด์) และ อาร์มิน ปีซี่ (1.5 ล้านปอนด์)

- เชลซี ขายเก่งเกือบ 300 ล้านปอนด์

ขณะที่ ลิเวอร์พูล ใช้เงินเก่งเป็นสถิติ เชลซี ก็สามารถทำลายสถิติในการขายเช่นกัน โดยพวกเขาสามารถขายนักเตะได้มากถึง 266.6 ล้านปอนด์ (ราว 11,730.4 ล้านบาท) 

"สิงโตน้ำเงินคราม" ปล่อยนักเตะย้ายถาวรถึง 23 ราย  และมีผู้เล่นถึง 9 รายที่พวกเขาสามารถขายได้มากกว่า 20 ล้านปอนด์ (ราว 880 ล้านบาท) นักเตะที่ทำเงินในการขายให้กับ เชลซี ได้แก่ โนนี่ มาดูเอเก้ ย้ายไป อาร์เซน่อล 48 ล้านปอนด (ราว 2,112 ล้านบาท) และ ชูเอา เฟลิกซ์ ไป อัล นาสเซอร์ 43.7 ล้านปอนด์ (ราว 1,922.8 ล้านบาท)

ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ขายไปอาทิเช่น คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่ ฮอลล์ และ ยอร์เย เปโตรวิช  เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำเงินรวมแล้วประมาณ 90 ล้านปอนด์ (ราว 3,960 ล้านบาท) จากการย้ายไป เอซี มิลาน, เอฟเวอร์ตัน และ บอร์นมัธ ตามลำดับ 

ยอดขายสถิติสูงสุดของ เชลซี ครั้งนี้ยังไม่ได้นับรวมภาระผูกพันมูลค่า 70.5 ล้านปอนด์ (ราว 3,102 ล้านบาท) ที่อยู่ในสัญญายืมตัว นิโกลัส แจ็คสัน ไป บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวจะทำให้สโมสรได้กำไรเกินสองเท่าจากการลงทุนซื้อตัว หัวหอกชาวเซเนกัล มาจาก บียาร์เรอัล ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ (ราว 1,320 ล้านบาท) เมื่อปี 2023

- ขายน้อยทำยอดรายจ่ายสุทธิพุ่งสูง

ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ใช้เงินเสริมทัพซัมเมอร์นี้มากกว่า อาร์เซน่อล แต่ "ปืนใหญ่" กลายเป็นทีมที่มีรายจ่ายสุทธิมากที่สุดเพราะพวกเขาขายนักเตะได้แค่ 11.6 ล้านปอนด์ (ราว 510.4 ล้านบาท) เท่านั้น

 "หงส์แดง" สามารถทำเงินจากการขายผู้เล่นได้ถึง 207 ล้านปอนด์ (ราว 9,108 ล้านบาท) ส่วน "สิงห์บลูส์" รับทรัพย์จากการปล่อยผู้เล่นถึง 266.6 ล้านปอนด์ (ราว 11,730.4 ล้านบาท) 

อาร์เซน่อลสามารถปรับลดขนาดทีมลงได้บ้าง โดย ฟาบิโอ วิเอร่า (ยืมตัว) , อัลเบิร์ต แซมบี้ โลคองก้า (ถาวร), ยาคุบ คิวิออร์ (ยืมตัว), รีสส์ เนลสัน (ยืมตัว) และโอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ (ยืมตัว) ต่างย้ายออกจากทีมในช่วงเดดไลน์ แต่สามารถทำเงินได้ไม่เท่าไหร่ 

นอกจากนี้พวกเขายังต้องเสียนักเตะจากกรณีหมดสัญญาได้แก่ โธมัส ปาร์เตย์, จอร์จินโญ่ และ คีแรน เทียร์นีย์ ขณะเดียวกัน สโมสรจะได้รับเงิน 24 ล้านปอนด์ (ราว 1,056 ล้านบาท) จากการบังคับซื้อในสัญญายืมตัวของ คิวิออร์ ไป ปอร์โต้ แต่เงินก้อนนี้จะได้รับช่วงซัมเมอร์หน้า 

ดังนั้นทีมได้รับเงินจากการขายจริงๆ ช่วงซัมเมอร์นี้จาก มาร์กินญอสไป ครูไซโร่ และ นูโน่ ตาวาเรส ไป ลาซิโอ เท่านั้น สวนทางกับเม็ดเงินในการเสริมทัพ 8 รายที่ปาเข้าไป 263 ล้านปอนด์ (ราว 11,572 ล้านบาท) 

- ดีลซื้อขายนักเตะระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกเพิ่มสูงต่อเนื่อง

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจสำหรับตลาดซัมเมอร์นี้ก็คือการเพิ่มขึ้นในการเจรจาซื้อขายนักเตะระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีก เนื่องจากนักเตะที่มีประสบการณ์ในลีกและคุ้นเคยกับความเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ฤดูกาลก่อน ดีลซื้อขายระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ในซัมเมอร์นี้ เงินที่ถูกใช้ไปกับการเสริมทัพระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกทะลุ 1 พันล้านปอนด์ (ราว 44,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 788 ล้านปอนด์ (ราว 34,672 ล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว

จากรูปแบบตลอด 8 ฤดูกาลที่ผ่านมา บ่งชี้ว่ากระแสนี้จะยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากหลายสโมสรมุ่งเป้าไปที่นักเตะที่พร้อมลงเล่นในพรีเมียร์ลีกทันที เพราะคุ้นเคยและเข้าใจสไตล์ที่เน้นใช้พละกำลังเป็นอย่างดี 

ตารางดีลซื้อขายระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกช่วง 8 ซีซั่นที่ผ่านมา

ฤดูกาลดีลซื้อขายระหว่างสโมสร
2018/2019
201.5 ล้านปอนด์ (ราว 8,866 ล้านบาท)
2019/2020321.3 ล้านปอนด์ (ราว 14,137.2  ล้านบาท)
2020/2021
244  ล้านปอนด์ (ราว 10,736 ล้านบาท)
2021/2022456.3ล้านปอนด์ (ราว 20,077.2 ล้านบาท)
2022/2023762 ล้านปอนด์ (ราว 33,528 ล้านบาท)
2023/2024
777.5 ล้านปอนด์ (ราว 34,210 ล้านบาท)
2024/2025788 ล้านปอนด์  (ราว 34,672 ล้านบาท)
2025/2026
1,100 ล้านปอนด์ (ราว 44,000 ล้านบาท)

- ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อเสริมแนวรุก

มากกว่า 60 เปอร์เซนต์ของยอดการใช้จ่ายจำนวน 3,190 ล้านปอนด์ของสโมสรในพรีเมียร์ลีกช่วงซัมเมอร์นี้ เป็นการซื้อผู้เล่นแนวรุกเข้ามาเสริมทัพ มีการแข่งขันอย่างดุเดือดในการเสริมความคม โดยเฉพาะจากสโมสรชั้นนำของลีก

ลิเวอร์พูล ทุ่มเงินในการเซ็นสัญญากับกองหน้ามากที่สุดด้วยการคว้าตัว อีซัค มาร่วมทัพในช่วงเดดไลน์ตลอดซัมเมอร์นี้ พวกเขาใช้เงินในการเสริมแนวรุกสูงถึง 320.5 ล้านปอนด์ (ราว 14,102 ล้านบาท) ด้วยการเซ็นแข้งแพงอันดับ 2 และ 3 นั่นก็คือ เวียร์ตซ์ กับ อูโก้ เอกิติเก้  

ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุ่มทุนสร้างมหาศาลในด้านหน้าเช่นกัน จากการเซ็นสัญญากับ เบนจามิน เซสโก้, ไบรอัน เอ็มเบอโม่ และ มาเตอุส คุนญ่า รวมแล้วประมาณ 207 ล้านปอนด์ (ราว 9,108 ล้านบาท) 

สำหรับ อาร์เซน่อล และ เชลซี ก็ใช้เงินไปกับตำแหน่งนี้มากเช่นกันทั้งการคว้าตัว วิคตอร์ โยเคเรส, เอเบเรชี่ เอเซ่, ชูเอา เปโดร และ เลียม ดีแลป เป็นต้น 

นอกจากนี้ นิวคาสเซิ่ล ใช้เงินที่ได้จากค่าตัวของ อีซัค มาเสริมทัพแดนหน้าด้วยการเซ็นสัญญากับ  นิค โวลเทอมาเดอ จาก สตุ๊ตการ์ท และ โยอัน วิสซ่า จาก เบรนท์ฟอร์ด ส่วนโมฮัมเหม็ด คูดุส จาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แต่กระนั้น เวสต์แฮม เป็นทีมเดียวในลีกที่ไม่ควักกระเป๋าซื้อแนวรุกช่วงซัมเมอร์นี้

✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄



ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport