เกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล.. โดยปกติแล้วเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นเราคาดหวังได้ถึงการถล่มประตู
ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกนี่คือคู่เตะที่ทำประตูรวมกันมากเป็นอันดับสองตลอดกาล
198 ประตูที่เกิดขึ้นในการห้ำหั่นกันของคู่นี้ที่แอนฟิลด์ ไฮบิวรี่ และ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นับตั้งแต่ซีซั่นแรกสุดของพรีเมียร์ลีก 1992/93 เป็นรองเพียงตัวเลข 206 ประตูระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส เท่านั้น
และถ้านับเฉพาะโปรแกรมเตะที่สนามเดียว ลิเวอร์พูล หวดกับ อาร์เซน่อล ที่แอนฟิลด์คือแมตช์ที่มีการทำประตูกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 35 ปีของพรีเมียร์ลีก
112 ประตู.. สกอร์มโหฬาร 4-4 ที่ อังเดร อาร์ชาวิน กดคนเดียว 4 ลูกให้ทีมปืนใหญ่ก็เกิดขึ้นที่นี่ แฮตทริกของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ในชัยชนะ 3-0 หรือแฮตทริกของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ในเกมถล่ม 5-1 ก็มีขึ้นที่นี่เช่นกัน
เมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราได้เห็นสกอร์ระดับ 5-1, 4-0, 4-4, 4-1, 3-0 หรือ 2-2 อย่างฤดูกาลที่แล้วเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างคู่นี้ อีกทั้งสถิติ 20 เกมที่เจอกันในรอบ 10 ฤดูกาลหลังสุดค่าเฉลี่ยการทำประตูระหว่างแมตช์หงส์แดง-ปืนใหญ่ทั้งที่แอนฟิลด์และเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมอยู่ที่ 3.9 ประตูต่อเกม จึงเป็นธรรมดาที่เราจะคาดหวังถึงการทำประตูและเกมที่ดุเดือดเลือดพล่านเมื่อคืนวันอาทิตย์
แต่สถิติก็ส่วนสถิติ ประวัติที่ผ่านมาก็ส่วนประวัติที่ผ่านมา มันไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินไปตามนั้นเสมอไปเสียเมื่อไหร่
ถ้านำไปเปรียบเทียบกับบรรยากาศร้อนแรงราวภูเขาไฟระเบิดในหลาย ๆ เกมที่ผ่านมาระหว่างคู่นี้ เกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์ก็อยู่ในระดับเบา ๆ
ไม่ได้เป็นความพลุ่งพล่าน 5 ดาวที่เปิดหน้าแลกหมัดกันทีต่อทีจนแฟนบอลนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ อดรนทนไม่ไหวต้องส่งเสียงตะโกนเชียร์กระหึ่ม ผมยังจำเกมเสมอ 2-2 ที่ลิเวอร์พูลโดนนำ 0-2 เมื่อสองปีที่แล้วได้ดี กรานิต ชาก้า กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฮึดฮัดใส่กันทีเดียว จากเกมที่สู้ไม่ได้เลย หงส์แดงเหมือนได้พลังพิเศษกลับมาไล่โขยกทีมปืนใหญ่อย่างเมามัน
หลายคนคงยังจำเกมนั้นได้ มันเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลที่แล้วเช่นกันเพียงแต่กลับฝั่ง ลิเวอร์พูลที่ได้แชมป์ไปแล้วออกนำ 2-0 สุดท้ายเกือบเอาตัวไม่รอดในผลเสมอ 2-2
เหมือนไม่ใครก็ใครมักจะมีร่างทองมาสิงได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่เป็นประจำเวลาเจอกัน
กับเกมเมื่อวันอาทิตย์เป็นอีกภาพหนึ่ง ทั้ง อาร์เน่อ และ มิเกล อาร์เตต้า เลือกความรัดกุมมาก่อน เกมระหว่าง แชมป์เก่า กับ รองแชมป์เก่า อย่างนี้แถมยังเป็นตัวเต็งล่าแชมป์ในฤดูกาลนี้ทั้งคู่ แพ้เกมนี้เสียหายสาหัสไปกลับ 6 คะแนน
เกมตรงกลางแพ็กแน่นคุมพื้นที่ละเอียดไม่ให้อีกฝ่ายมีช่องเจาะเข้าเขตโทษง่าย ๆ เราเห็นบอลแทงตรง ๆ ขึ้นหน้าไม่บ่อยนัก ถ้าไม่ใช่โอกาสชัดเจนจริง ๆ นักเตะทั้ง 2 ทีมเลือกปลอดภัยไว้ก่อนส่งให้เพื่อนข้าง ๆ หรือถ่ายบอลตั้งเกมใหม่แทน
ภาพที่เห็นบ่อย ๆ ในเกมนี้บอลจึงอยู่ที่เซนเตอร์แบ๊กบ้าง มิดฟิลด์ถอยลงไปรับบอลบ้าง และถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่วิ่งขึ้นมากดดัน บอลก็จะยังอยู่ตรงนั้นไม่จำเป็นต้องรีบเปิดเกมขึ้นหน้า
ใจเย็น ไม่รีบร้อน เน้นความแน่นอนไว้ก่อน เกมช้าไม่ได้เร็วฉูดฉาดแบบแข่งรถฟอร์มูล่าวัน
บอลสลับวางยาวมีให้เห็นบ้าง อาร์เซน่อลเลือกโจมตีไปทาง มิลอส เคอร์เคซ แบ๊กซ้ายซึ่งนัดนี้ดวลกับ โนนี่ มาดูเอเก้ ทั้งเกมและรับมือกับอดีตปีกเชลซีได้ดี บางจังหวะไม่กล้าสกัดกลัวฟาวล์ถูกกระชากผ่านไปได้ก็ยังกัดฟันตามมาสกัดออกหรือบล็อกลูกยิงได้ในจังหวะสุดท้าย
ลิเวอร์พูลก็ทำอะไรไม่ถนัดจากการต่อบอลเข้าทำเช่นกัน เกมโอเพ่นเพลย์ตื้อตันด้วยกันทั้งคู่ มีลูกทิ้งยาวจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ สวย ๆ ให้เห็นเหมือนกันแต่แดนหน้าเก็บบอลไม่ได้
เกมรับทำหน้าที่ได้ดีทั้ง 2 ทีม โจทย์ก่อนเริ่มเกมในหมวดนี้ต่างกันเพราะในขณะที่อาร์เซน่อลยังไม่เสียประตูให้ใครเลย ลิเวอร์พูลกลับโดนยิงไปแล้ว 4 ประตูจาก 2 เกมแรก เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นอีกนิดฤดูกาลที่แล้วกว่าทีมหงส์แดงจะเสียประตูที่ 4 ต้องรอถึงเกมที่ 9 ของฤดูกาล
แนวป้องกันของทีมปืนใหญ่ยังคงแข็งแกร่งตามมาตรฐานไม่เปิดโอกาสให้เจ้าถิ่นได้มีโอกาสยิงชัด ๆ เลย คริสเตียน มอสเกร่า ที่ต้องเล่นแทน วิลเลียม ซาลิบา กะทันหันตั้งแต่นาทีที่ 5 ยืนได้นิ่งไม่มีความตื่นเต้นลนลานกับเกมแรกที่มาเยือนแอนฟิลด์ ดักเก็บบอล และปะทะแย่งบอลได้ดี
ยูร์เรียน ทิมเบอร์ แบ๊กขวาที่ยิง 2 จ่าย 1 ในเกมถล่มลีดส์ ยูไนเต็ด รักษาพื้นที่เป็นหลักไม่ค่อยได้เติมเกมเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ที่อยู่อีกฟาก
ฝั่งลิเวอร์พูลมีการป้องกันที่น่าพอใจ อิบราฮิมา โกนาเต้ เก็บกินเรียบสำหรับบอลบนพื้นแม้ลูกกลางอากาศจะมีจังหวะเหวอบ้าง 1-2 ครั้ง โจ โกเมซ ตัวสำรองที่ลงมาแทนปราการหลังชาวฝรั่งเศสก็โหม่งสกัดและตามบล็อกบอลของทีมเยือนได้หลายครั้ง
ฟาน ไดค์ ทำได้ตามมาตรฐานของตัวเอง เคอร์เคซแสดงให้เห็นถึงพลังและความไม่ยอมแพ้ ขณะที่ โดมินิก โซโบซไล ฮีโร่ของลิเวอร์พูลกับบทบาทแบ๊กขวาจำเป็นเล่นเหมือนมีไดนาโมติดตัว 3-4 เครื่อง รับผิดชอบพื้นที่เกมรับที่ต้องเผชิญหน้ากับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ได้ดี และยังช่วยขับเคลื่อนเกมรุก ขยับเข้าไปเล่นตัวใน มีจังหวะวางบอลยาวเปลี่ยนเกมฉับพลัน
แน่นอน.. รวมไปถึงฟรีคิกสุดยอดจากระยะ 30 หลาที่เป็นประตูชัยลูกนั้นด้วย มันยิ่งอลังการกว่าความงดงามหลายเท่าเมื่อมันเกิดขึ้นต่อหน้าอัฒจันทร์ฝั่งเดอะค็อปในนาทีที่ 83 และเป็นประตูชัยในท้ายที่สุด
เกมที่ตื้อตันเรื่องการสร้างสรรค์โอกาสแบบนี้หลายครั้งตัดสินกันที่ลูกพิเศษ 90 นาทีที่แอนฟิลด์เมื่อคืนนี้ลิเวอร์พูลกับอาร์เซน่อลยิงตรงกรอบรวมกันแค่ 4 ครั้ง (ลิเวอร์พูล 3 อาร์เซน่อล 1) ค่า xG เจ้าบ้านแค่ 0.52 ทีมเยือนแค่ 0.49
ความเร็วของเกมในครึ่งหลังที่ไม่ได้เร็วไปกว่าครึ่งแรกมากนักด้วยยังมีภาพของเกมแพลนที่ต้องการความรัดกุมครอบอยู่ มันมีแนวโน้มสูงมากที่จะไปจบที่สกอร์ 0-0 ตอนที่กัปตันทีมชาติฮังการีซัดฟรีคิกลูกนั้นส่งบอลลอยสูงแล้วฮุกลงมาชนเสาเข้าไป จนปัญญาที่ ดาบิด รายา จะพุ่งไปปัดได้ถึง
ความจริงแล้ว "ลูกพิเศษ" ที่ว่า อาร์เซน่อลมีโอกาสทำมันได้หลายครั้งก่อนหน้าฟรีคิกของโซโบด้วย เมื่อได้เตะมุมถึง 5 ครั้งในครึ่งแรกและอีก 3 ครั้งในครึ่งหลัง แต่อาวุธหนักที่สร้างประตูให้พวกเขาถึง 33 ลูกตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาชนิดทิ้งทีมอื่นไม่เห็นฝุ่น (ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกเตะมุมเป็นอันดับสอง 20 ลูก) กลับไม่มีวี่แววว่าจะทำอันตรายใด ๆ ได้เลย
ที่ใกล้เคียงที่สุดคงจะเป็นลูกยิงแถว ๆ กรอบเขตโทษของ มาดูเอเก้ ที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ปัดทิ้งหวุดหวิดในครึ่งแรกแค่นั้น ตรงนี้อาจต้องชม แอรอน บริกก์ส ที่เพิ่งขยับจากบทบาทโค้ชพัฒนานักเตะทีมชุดใหญ่ไปเป็นโค้ชลูกตั้งเตะและลูกนิ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วยที่ทำให้การประกบคนและคุมพื้นที่ในเขตโทษออกมาสมบูรณ์แบบอย่างนี้
เกมรับของลิเวอร์พูลทำหน้าที่ดีเยี่ยมตลอดทั้งเกม เหนียวแน่น มีสมาธิ ไม่ก่อความผิดพลาดเองจนเปิดโอกาสทำประตูให้คู่แข่ง เมื่อประกอบกับวิธีการเล่นของอาร์เซน่อลที่ไม่ลุยแลกเต็มตัวในช่วงก่อนจะเสียประตูด้วยจึงเป็นที่มาของคลีนชีตครั้งที่ 6 ของอลีสซงใน 16 เกมที่พบกับทีมปืนใหญ่
สุดท้ายแล้วในโปรแกรมเตะของคู่ที่โดยปกติเกมรุกเป็นพระเอกตลอดกาล กลับมาตัดสินกันที่ลูกพิเศษลูกเดียวท่ามกลางเกมรับที่แข็งแกร่งพอ ๆ กัน
ลิเวอร์พูลขึ้นนำเป็นจ่าฝูงด้วยสถิติชนะรวด 100 เปอร์เซนต์ทีมเดียวในลีกเพราะ อาร์เซน่อล กับ สเปอร์ส มาเสียสถิติในสัปดาห์นี้
มันมาพร้อมกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในเกมรับ และความตื่นเต้นครั้งใหญ่ที่กำลังรออยู่ในวันปิดตลาด
เป็นการเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่และเดือนใหม่ที่น่าชื่นใจทีเดียวล่ะครับสำหรับเดอะค็อป
ตังกุย