สุดมันที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค

สุดมันที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค
กว่าร้อยนาทีของเกมมันเดย์ไนท์เมื่อคืนวันจันทร์ มันเสกเกมเข้มข้นสุดเหวี่ยงระดับ 5 ดาวขึ้นมา..

แน่นอนครับ ลำพังความเป็น เซนต์ เจมส์ พาร์ค ก็ทรงพลังในตัวเองมากพออยู่แล้ว มันยังบวกเข้ากับปัจจัยอีก 2-3 ข้อที่ทำให้เกมเมื่อคืนที่ผ่านมายิ่งข้นคลั่กในแง่บรรยากาศ

-มันคือเกมแรกของฤดูกาล 2025/26 ที่สนามแห่งนี้

-มันคือเกมระหว่าง 2 ทีมที่เจอกันที่ไหนเมื่อไหร่มีประตูเกิดขึ้นเสมอ ผล 0-0 มีเพียงครั้งเดียวในรอบ 84 เกมหลังสุดที่เจอกันนับตั้งแต่ปี 1974

-มันคือเกมระหว่าง นิวคาสเซิ่ล กับ ลิเวอร์พูล ที่สร้างดราม่าแสบทรวงมานับไม่ถ้วน ประตู 4-3 ของ สแตน คอลลีมอร์ ประตู 4-3 ของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ประตู 2-1 ของ ดาร์วิน นูนเญซ ประตู 3-3 ของ ฟาเบียน แชร์..

-และที่สำคัญที่สุด.. มันคือเกมที่ความอัดอั้นจากปัญหาน่าปวดหัวและคาราคาซังมานับเดือนเรื่อง อเล็กซานเดอร์ อิซัค พร้อมที่จะปะทุ จากคู่กรณีที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงโคจรมาพบกัน

เสียงบรรเลงของเพลง Going Home แห่งภาพยนตร์ Local Hero ปี 1983 เย้ายวนอวลอารมณ์รื่นเช่นเคย มันคือเพลงประจำสโมสรที่ไพเราะและติดหูผู้คนที่สุดอีกเพลงหนึ่ง ทุก ๆ เกมที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ผลงานอมตะชิ้นนี้ของ มาร์ค น็อปเฟลอร์ จะดังกระหึ่มขับกล่อมทุก ๆ คน

จนเมื่อเสียงกลองทึบที่กระแทกกระทั้นรัว ๆ ในท่อนปิดสิ้นสุดลง เสียงเชียร์ใน เซนต์ เจมส์ พาร์ค ก็จะระเบิดออกมา ความพร้อมพลุ่งพล่านถึงขีดสุด

บรรยากาศในรังเหย้าของทีมสาลิกาดงเป็นเช่นนี้เสมอมา

ขุนพลนิวคาสเซิ่ลลงเล่นในเกมนี้คล้ายมีแรงกระตุ้นพิเศษ บางทีความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตลอดช่วงปิดฤดูกาลอาจกลายเป็นแรงผลักดันมหาศาลที่ทำให้ทุก ๆ คนรวมพลังกันเป็นหนึ่ง เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเรื่องแค่นี้ทำอะไรสปิริตของพวกเขาไม่ได้

อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่รู้หรอกกับปัญหาเรื่องนักเตะคนเดียว แต่ที่แน่ ๆ ไม่ว่าจะลงเอยอย่างไรก็ตาม มันจะไม่มีวันกระทบเลือดเข้มข้นของเดอะแม็กพายส์

ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกมาผ่านการเล่นที่เดือดพล่าน สะใจ ถึงใจ กระแทกใจของนักเตะในสนาม ผ่านการเชียร์ตะโกนเร่งเร้า แหกปากตะเบ็งสุดเสียงของแฟนบอลบนอัฒจันทร์

เลือดนักสู้ไม่ยอมแพ้ของนิวคาสเซิ่ลทั้งนักเตะและกองเชียร์ของพวกเขาเติมเต็มเกมนี้ให้สมบูรณ์แบบในทุกแง่

ยิ่งเมื่อดูจากสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเจอ ทั้งปัญหายืดเยื้อก่อนเตะ เหลือผู้เล่น 10 คนท้ายครึ่งแรก โดนนำ 0-2 ต้นครึ่งหลัง แต่บทสรุปที่ทุกคนได้เห็นคือหัวใจนักรบของ ทูน อาร์มี่ ทุกชีวิต

การโหมบุกโขยกใส่ ลิเวอร์พูล แบบบ้าคลั่งทั้งช่วงครึ่งชั่วโมงแรกและครึ่งชั่วโมงสุดท้ายคือความน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งน่าทึ่งและชวนให้รู้สึกประทับใจไปกับแรงขับเคลื่อนที่ดูเหมือนไม่มีวันหมด

ยิ่งด้วยเงื่อนไขยากสุดขีดตาม 2 ประตูและเหลือผู้เล่นน้อยกว่า แต่ 10 คนของพวกเขากลับงัดเอาพลังก๊อก 3 ก๊อก 4 ออกมาบดขยี้แชมป์เก่าจนปั่นป่วนไม่เป็นกระบวน แทบดูไม่ออกเลยว่าฝั่งไหนกันแน่ที่เหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่า

กระทั่งในที่สุดนิวคาสเซิ่ลก็ทำได้จริง ๆ ไล่ตีคืนทีละลูกจนกระชากคะแนนมาไว้ในมือจนได้ด้วยประตูตีเสมอ 2-2 ก่อนหมดเวลาเพียง 2 นาที

แล้วดูความเดือดของพวกเขาสิครับ ทันทีที่ วิลเลียม โอซูล่า เห็นลูกยิงของตัวเองกลิ้งเข้าไปตุงตาข่าย แต้มจาก 0 กลายเป็น 1 แล้ว ผลกลับมาเท่ากันแล้ว แต่เขาและเพื่อนร่วมทีมยังรีบวิ่งไปเอาบอลเพื่อจะให้เกมกลับมาเตะกันต่อเร็ว ๆ คล้ายจะลืมไปเลยว่าทีมตัวเองยังคงมีผู้เล่นน้อยกว่า

แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นิวคาสเซิ่ลไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมโหมลุยต่อราวกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย กดดันผู้มาเยือนจากเมอร์ซี่ย์ไซด์จนต้องตั้งรับพัลวันเสียลูกเตะมุมถี่ ๆ ในช่วงครึ่งแรกของการทดเวลา

ลิเวอร์พูลคล้ายนักมวยที่เอาหลังพิงเชือก พยายามเอาตัวรอดหลบหลีกหมัดซ้ายขวาล่างบนที่ถูกปล่อยออกมา ไม่ใครก็ใครนั่นล่ะที่ตาลายกันไปข้าง

ทีมหงส์แดงได้ 3 คะแนนจากเกมนี้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย มันมีทั้งความโล่งใจ ดีใจ และวิตกกังวลเคล้าคละกันไป

สองเกมแรกของฤดูกาลป้องกันแชมป์ ลิเวอร์พูลเจอเรื่องง่ายที่กลายเป็นยาก นำ 2-0 สบาย ๆ อยู่ดี ๆ กลับถูกไล่ตีเสมอ 2-2 ทั้ง 2 ครั้ง เกมแรกกับบอร์นมัธเจอบอลสวนกลับเร็ว เกมล่าสุดกับนิวคาสเซิ่ลพ่ายลูกโยนเข้าไปกดดันในเขตโทษ

การป้องกันยังมีความหละหลวมให้เห็น กองกลางชะลอเกมโต้กลับได้ไม่ดีพอ กองหลังมีจังหวะทำให้ตัวเองเล่นยากทั้งปล่อยบอลตก ตัดสินใจช้า และส่งบอลไม่ได้น้ำหนัก

2 เกมที่ผ่านมามีเรื่องไม่ดีพอให้ อาร์เน่อ ต้องขบคิดและหาวิธีแก้ไขหลายข้อ ธรรมชาติของฤดูกาลป้องกันแชมป์ก็แบบนี้ กระทั่งถ่ายเลือดมีนักเตะใหม่ลงสนามเกือบครึ่งทีมแต่คู่ต่อสู้ก็ยังรู้จักคุณ ศึกษาคุณ ระวังคุณ และมีวิธีที่จะเล่นงานคุณมากขึ้นกว่าเดิมอยู่ดี

และเมื่อทีมหนึ่งมี How to ให้เห็นว่าต้องทำอย่างไรถึงจะลงโทษคุณได้ หลายทีมก็ยิ่งเน้นกับ How to นั้น ๆ ยิ่งขึ้น ถ้าคุณแก้ไขข้อบกพร่องไม่ทันการณ์อาจส่งผลกระทบร้ายแรงตามมาเพราะต้องไม่ลืมว่าสุดท้ายแล้วแชมป์สามารถมีได้เพียงแค่ทีมเดียว

มีเพียงทีมเดียวที่ดีกว่าคุณ แชมป์ก็กระเด็นหลุดไปจากมือของคุณแล้ว

เกมนี้เป็นอีกครั้งที่บอลของลิเวอร์พูลไม่ไหลลื่น แทบไม่มีเกมรุกกดดันคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง

4 ผู้เล่นแดนบนเงียบกริบไปแล้ว 2 ทั้ง โฟลเรียน เวีรตซ์ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถูกผู้เล่นเจ้าถิ่นซ้อนสองซ้อนสามระแวดระวังไม่ให้ทำอะไรได้ถนัด

โกดี้ คักโปไม่ถึงกับเงียบนักแต่ก็ทำอะไรไม่ถนัดเช่นกัน อาจจะมีเพียง อูโก้ เอกิติเก้ ที่มีบทบาทพักบอล เชื่อมเกมได้บ้าง แม้จะถูกบีบถูกชิดประกบติดไม่ได้พลิกหันหน้าเข้าหาประตูเลยก็ตาม

กองกลางลิเวอร์พูลแพ้เจ้าบ้านชัดเจน ไรอัน กราเฟนแบร์ก กับ โดมินิก โซโบซไล โดน โชลินตอน ซานโดร โตนาลี และ บรูโน่ กีมาไรช์ รุมกินโต๊ะตั้งเกมกันไม่ได้เลย

ทั้ง 3 คนมีครบถ้วนทั้งลูกบู๊ลูกบุ๋น ผลัดกันเล่น ผลัดกันเข้า ชิงเหลี่ยมบังทาง ปะทะแย่งบอล เก็บเอาบอลมาทำเกมรุกให้นิวคาสเซิ่ลได้ตลอด แอนโธนี่ เอลังก้า มีความเร็วเล่นงาน มิลอส เคอร์เคซ อ่วม

ยิ่งเล่น ๆ ไป ติโน่ ลิฟราเมนโต้ แบ๊กซ้ายเจ้าถิ่นเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเติมเกมบุกจนแทบจะกลายเป็นปีกไปอีกคน จังหวะลากบอลตัดเข้าในของฟูลแบ๊กสารพัดประโยชน์สร้างความวุ่นวายในการตั้งรับตรงกลางของลิเวอร์พูลได้มาก

กระนั้นความเด็ดขาดในการจบสกอร์คือปัญหาใหญ่ของนิวคาสเซิ่ล การขาดหายไปของอิซัคส่งผลโดยตรงชัดเจน ฤดูกาลที่แล้วดาวยิงสวีดิชซัด 23 ประตูในลีก ทิ้งเพื่อนร่วมทีมไกลสุดกู่ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ที่อยู่ใกล้ที่สุดยังยิงแค่ 9

แอนโธนี่ กอร์ดอน สไตร์เกอร์จำเป็นที่ต้องเล่นกองหน้าตัวเป้าแทนมีโอกาสยิงประตูถึง 7 ครั้งในเกมแรกที่ไปเยือน แอสตัน วิลล่า มากที่สุดกว่าใครในพรีเมียร์ลีกสัปดาห์แรก แต่เปลี่ยนเป็นประตูไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว

มันก็ฉายภาพเดิม ๆ นิวคาสเซิ่ลบุกได้ดี แย่งบอลเก่ง สร้างเกมขึ้นไปหาจังหวะเข้าทำได้ แต่ประตูกลับไม่มา สุดท้ายกลายเป็นลิเวอร์พูลได้ยิงตูมเดียวจาก ไรอัน กราเฟนแบร์ก บอลพุ่งเสียบตาข่ายดื้อ ๆ

ต้องชม 'กราฟ' ที่ขโมยยิงชนิดที่ไม่มีใครระวัง เขารับบอลจากเพื่อนแล้วมองไปทางขวา 2-3 ครั้ง มองจริงหรือมองหลอกไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ กองกลางดัตช์ลักไก่ยิงหักข้อส่งบอลเบียดเข้าเสาแรกชนิดที่ นิค โป๊ป ได้แต่ยืนขาตาย

การบุกขย่มอยู่แทบจะข้างเดียวตลอดครึ่งชั่วโมงแรก กดจนคู่แข่งไม่ได้หายใจหายคอ กลับได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นตามหลัง 0-1

นิวคาสเซิ่ลไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่ได้ส่งบอลพลาด ไม่ได้จ่ายบอลเสีย ไม่ได้คว้าบอลหลุดมือ ไม่ได้พลาดเองจนเป็นเหตุให้เสียประตู แต่ก็นี่แหละฟุตบอล กราเฟนแบร์กที่ทำประตูไม่ได้เลยให้ลิเวอร์พูลตลอดการเล่น 49 เกมเมื่อฤดูกาลที่แล้วจึงโผล่มายิงให้แชมป์เก่าออกนำแบบดื้อ ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย

หนักไปกว่านั้นเมื่อถึงช่วงทดเวลาครึ่งแรก กอร์ดอนที่วิ่งไล่บอลแบบบ้าคลั่งด้วยแพสชั่นเสียงเชียร์ที่ปลุกเร้าให้พลุ่งพล่านก็ 'ล้น' เกินไปจนการพุ่งเข้าสกัดบอลจากเท้า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กลายเป็นการเปิดปุ่มยันใส่น่องของปราการหลังชาวดัตช์

เมื่อ จอห์น บรูคส์ ผู้ตัดสิน VAR พิจารณาเหตุการณ์แล้วเรียก ไซม่อน ฮูเปอร์ เชิ้ตดำในสนามไปดูจอมอนิเตอร์ เราก็แทบจะรู้ชะตากรรมของอดีตดาวเตะเอฟเวอร์ตันทันทีว่าคงไม่รอดใบแดงแน่ ซึ่งสุดท้ายมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

นิวคาสเซิ่ลตาม 0-1 เหลือผู้เล่นแค่ 10 คน และเมื่อเริ่มครึ่งหลังได้เพียงไม่ถึงนาทีจากความเลวร้ายก็กลายเป็นหายนะเมื่อ อูโก้ เอกิติเก้ พังประตูที่สองให้ผู้มาเยือนได้อีก

ถึงตรงนั้นนิวคาสเซิ่ลจะกลับมาอย่างไร.. ตาม 0-2 ทั้งยังเหลือแค่ 10 คน

ไม่มีทางกลับมาได้หรอกครับ ถ้าใจไม่สู้ และถอดใจทิ้งความหวังกลางคัน

สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจเกมนี้อย่างที่สุดคือปฏิกิริยาตอบสนองของผู้เล่นเจ้าถิ่น ผลงานอันน่าประทับใจนี้ทำให้มันเป็นวันที่ ทูน อาร์มี่ ทุกชีวิตยังสามารถมีความสุข ยิ้มและหัวเราะให้กับความพ่ายแพ้ได้

เพราะความพ่ายแพ้นั้นกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อนำไปเทียบกับความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ทุก ๆ คนแสดงให้เห็น

ผลการแข่งขันสำคัญก็จริง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด หัวจิตหัวใจและแคแร็กเตอร์ที่แสดงออกมาให้เห็นต่างหากที่จะทำให้คุณชนะใจผู้คน

มีไม่บ่อยหรอกนะครับที่เราจะเห็นทีมที่เหลือ 10 คน ตามหลัง 2 ประตู ไม่ก้มหน้าคอตกรอเสียงนกหวีดหมดเวลาดัง แต่รวมพลังกันวิ่งต่อ สู้ต่อ ไล่ฟัดไม่หยุด

เล่นเพื่อศักดิ์ศรี เล่นเพื่อกองเชียร์ เล่นเพื่อตราสโมสร

เล่นที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค คุณจะเฆี่ยนตีพวกผมยังไงก็ได้ แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นพวกผมก้มหัวยอมศิโรราบให้

เอาเข้าจริง ๆ ผมคิดว่ามันคือเกมที่ นิวคาสเซิ่ล ชนะใจทุกคนอย่างเบ็ดเสร็จ และส่งสัญญาณอะไรบางอย่างไปถึงเสียงวิจารณ์และการจับตามองทั้งหลายอยู่เหมือนกัน

สำหรับลิเวอร์พูล แน่นอนสุดท้ายแล้ว 3 คะแนนย่อมดีกว่า 1 คะแนนหรือไม่มีคะแนน

ยิ่งกับโจทย์ข้อแรกของพวกเขาในฐานะแชมป์เก่าที่การป้องกันแชมป์คือภารกิจสำคัญยิ่งยวด ทุกแต้มล้วนมีความหมาย

เล่นไม่ดี หัวซุกหัวซุน กระเสือกกระสน แต่ชนะ ย่อมดีกว่าเล่นดี เล่นเหนือ ได้ยิง 30-40 ครั้ง แต่แพ้

สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันเกิดขึ้นไปแล้ว ทุกความผิดพลาดและขาดตกบกพร่องจะต้องถูกนำไปปรับปรุงแก้ไข

ณ เวลานี้เดอะค็อปยังรู้สึกอุ่นใจไม่ได้เลยกับเกมรับที่ดูจะหละหลวม ผิดพลาด และมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอยู่ตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เข้าสู่ช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของซีซั่นที่แล้ว

เป็นเรื่องดีที่เกมนี้ลิเวอร์พูลได้เพชรขึ้นมาอีกเม็ด ริโอ เอนกูโมอา เด็กวัย 17 แจ้งเกิดเต็มตัวอย่างเป็นรูปธรรมหลังเปลี่ยนลงมายิงประตูชัยนาที 90+10

และที่มองข้ามไม่ได้คือประตูนี้มาจากการต่อบอลเข้าทำที่สวยงามและมีคุณภาพ ผ่านบอลตามช่อง ทำเร็วและแม่นในจังหวะสุดท้าย หมดจดมาก ๆ กับการข้ามบอลของโซโบซไลให้ไอ้หนูริโอยิงตูมเดียวตุงตาข่าย

เป็น Team goal ที่มีคุณภาพ จบด้วยการยิงที่มีคุณภาพ น่าทึ่งอยู่เหมือนกันกับการยิงลูกนี้ท่ามกลางความกดดันมหาศาลขนาดนี้ของเด็กวัย 17

หนักแน่น มั่นใจ ไม่มีลังเล

มีความหนักใจและกังวลเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับในหมู่เดอะค็อป มันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะรูปเกมไม่ดีเลย

แต่อย่างน้อยทีมก็ยังหาวิธีคว้าชัยชนะจนได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แม้จะเป็นการสร้างความลำบากนั้นขึ้นมาเองจนหลาย ๆ คนอดโมโหไม่ได้ก็เถอะ

เกมนี้ความมันระดับ 5 ดาวโดยแท้ มันไม่ใช่เพราะแค่ประตูที่เกิดขึ้นถึง 5 ลูก หรือดราม่ายิงประตูชัยนาที 90+10 เท่านั้น

ปูมหลัง บรรยากาศ การฟาดฟัน และรายละเอียดต่าง ๆ ในเกมนี้ต่างหากที่ประกอบกันขึ้นจนทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมไปกับมัน และบอกกับตัวเองว่าไม่ผิดหวังเลยที่ได้ดู

ตังกุย  



ที่มาของภาพ : reuters
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport