เคล็ดลับการดูแลตัวเอง-ทำไม ซาลาห์ ยังแรงไม่หยุดในวัยขนาดนี้?

เคล็ดลับการดูแลตัวเอง-ทำไม ซาลาห์ ยังแรงไม่หยุดในวัยขนาดนี้?
ไม่กี่เดือนก่อนถึงวันเกิดอายุครบ 30 ปี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการเข้าสู่วัยที่นักฟุตบอลส่วนใหญ่มักถูกมองว่าเลยช่วงพีกไปแล้ว

"ผมไม่เคยคิดว่ากำลังจะอายุ 30" เขาบอกกับนิตยสาร Four Four Two 

"ผมถามนักเตะบางคน พวกเขาบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ต่างออกไปเมื่อคุณอายุครบ 30 แต่สำหรับผม ผมยังรู้สึกดีนะ ผมกำลังสนุกกับชีวิต สนุกกับฟุตบอล ไม่สำคัญเลยว่าคุณจะอายุเท่าไรตอนนี้"

ตลอดฤดูกาล 2025/26 เจ้าของดาวซัลโว (29 ประตู) และแอสซิสต์ (18 ครั้ง) พรีเมียร์ลีก ก็พิสูจน์คำพูดนั้นให้เห็นว่ามันคือเรื่องจริง 

ซาลาห์ อายุครบ 33 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ผลงานของเขายังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีก

ฟอร์มอันยอดเยี่ยมนั้นทำให้ ซาลาห์ ได้รับสัญญาใหม่อีก 2 ปี แม้ FSG กลุ่มเจ้าของทีม จะลังเลมาตลอดในการมอบสัญญาระยะยาวเกิน 12 เดือนให้กับนักเตะวัย 30 ก็ตาม 

ขณะที่ตัว ซาลาห์ เองยังได้รับความเคารพอย่างไม่เสื่อมคลายจากเพื่อนร่วมอาชีพ เพียง 4 วันหลังจากยิงประตูแรกของฤดูกาลใหม่ใส่ บอร์นมัธ เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ (PFA) 3 ครั้ง ซึ่งเป็นรางวัลที่นักเตะใน อังกฤษ โหวตให้กันเอง

"สิ่งที่ โม ทำได้ทุกฤดูกาลมันบ้าคลั่งจริง ๆ เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย" แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ อดีตเพื่อนร่วมทีม ซาลาห์ กล่าวผ่าน Sky Sports 

ขณะที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ บอกว่านี่คือ "ฤดูกาลแห่งตำนาน" พร้อมยกให้ ซาลาห์ เป็นรองเพียง เธียร์รี่ อองรี ในบรรดากองหน้า พรีเมียร์ลีก

แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ ซาลาห์ ในวัยที่นักเตะระดับท็อปส่วนใหญ่เริ่มโรยรา แต่เขากลับยังคงที่ไม่เสื่อมถอย แถมยังก้าวหน้าขึ้นไปอีกขึ้น...

ที่ โรม่า สโมสรที่ ซาลาห์ ย้ายไปร่วมทัพแบบถาวรจาก เชลซี ตอนปี 2016 หลังโชว์ฟอร์มโดดเด่นระหว่างยืมตัว

ช่วงเวลานั้น ซาลาห์ เริ่มปรับกระบวนเตรียมร่างกายและฟื้นฟูจนกลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จบนเส้นทางอาชีพ

จากบทสัมภาษณ์กับ เลอ กิ๊ป เมื่อปี 2022 เขาเล่าว่าที่ อิตาลี คือจุดเริ่มต้นที่ตัวเองเริ่มมองหาทุกรายละเอียดที่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี และรู้สึกกระฉับกระเฉงมากขึ้นเพื่อลงเล่นเกมหนึ่งไปอีกเกมหนึ่ง 

ซาลาห์ ซื้อเครื่องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวตเทรนนิ่ง รวมถึงสร้างสนามซ้อมส่วนตัวในสวนบ้าน เพื่อฝึกซ้อมการยิงประตูร่วมกับโค้ช

ในหนังสือ Chasing Salah ที่เขียนโดย ไซม่อน ฮิวจ์ส บรรยายถึงแคมป์ฝึกโหดช่วงปรีซีซั่นที่เมืองเอเวียง ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ตอนปี 2018 ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ 

ตอนนั้นทีมสตาฟฟ์ต้องทำงานหนักดูแลนักเตะที่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ แต่ ซาลาห์ มีเพียงเรื่องการเตรียมพร้อม และการทำให้ร่างกายฟิตสำหรับสิ่งที่ คล็อปป์ จะโยนใส่ในวันถัดไป 

ผู้ที่เคยทำงานด้านการฟื้นฟูให้ ซาลาห์ กล่าวว่า ดาวเตะอียิปต์คนนี้เป็นเหมือนเครื่องจักร…นักเตะที่เกินมนุษย์ธรรมดา (a machine… a freak)

แม้ทีมจะต้องฝึกวันละสามเซสชั่นที่ เอเวียง แต่ ซาลาห์ ยังคงเริ่มและปิดท้ายวันด้วยการเข้ายิม ซึ่งเป็นนิสัยที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยอยู่ เชลซี 

สำหรับเขาแล้ว ยิมไม่ใช่แค่ที่ออกกำลังกาย แต่เป็นพื้นที่พักใจและพัฒนาตัวเอง 

เขาเคยบอกกับ GQ ในปี 2022 ว่า "ผมเข้ายิมทุกวัน เพราะรู้ว่าผมไม่ได้ลงเล่น" 

อีกทั้ง ซาลาห์ ยังรู้สึกว่าหลายคนในทีมตัวใหญ่กว่า และถ้าอยากอยู่รอดบนเวที พรีเมียร์ลีก ความเร็วเพียงอย่างเดียวยังไงก็ไม่พอ ยังไงเสียก็ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งควบคู่ไปด้วย

เมื่อ ซาลาห์ กลับมา อังกฤษ ในปี 2017 การเข้ายิมกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งในและนอกสนาม 

หนังสือ Chasing Salah มีรายละเอียดเพิ่มอีกว่า ขณะที่นักเตะคนอื่นๆ มาถึงศูนย์ฝึกซ้อมก่อนเวลาแล้วใช้เวลาว่างไปกับการเล่นพูล ซาลาห์ กลับอยู่ในยิม ฝึกเสริมความแข็งแกร่งของแกนกลางทั้งด้านกล้ามท้องและการหมุนลำตัว

แม้กล้ามท้องที่มองเห็นได้ชัดของเขา อาจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่หลายคนมองว่าน่าทึ่งที่สุด แต่ความจริงแล้วมันเป็นผลพลอยได้จากโภชนาการที่ดีและพันธุกรรมมากกว่า 

สิ่งที่สำคัญกว่าคือความมั่นคงลึกของแกนกลางร่างกาย (core stability) และความสามารถในการบิดลำตัวในขณะเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว

กล่าวคือ ซาลาห์ ไม่ได้โดดเด่นเพียงเพราะมีกล้ามท้องสวย แต่สิ่งที่ทำให้เขาเล่นได้สุดยอดจริง ๆ คือแกนกลางร่างกายที่มั่นคงและการควบคุมการบิดตัวขณะวิ่งเร็ว

"เขาจะโฟกัสการฝึกความแข็งแรงในการหมุนลำตัว เพราะเขามองเห็นแล้วว่านี่คือสิ่งสำคัญต่อเกมของเขา" ดร. เบน โรเซนบลัต อดีตโค้ชสมรรถภาพร่างกายทีมชาติอังกฤษ นาน 7 ปี และผู้ก่อตั้ง 292 Performance ที่ทำงานสนับสนุนเหล่านักกีฬาชั้นนำ กล่าว 

"สำหรับ ซาลาห์ นั่นหมายถึงการใช้ร่างกายบังคู่แข่ง และการเคลื่อนที่ในพื้นที่แคบ ๆ ได้อย่างคล่องตัว"

โรเซนบลัต อธิบายเพิ่มเติมว่าการโฟกัสด้านพลังการหมุนตัวนี้ น่าจะมาจากความรู้ที่ ซาลาห์ สั่งสมเกี่ยวกับร่างกายตัวเอง และสิ่งที่จำเป็นต่อการรับมือกับความเข้มข้นของฟุตบอลระดับสูง

"อาจมีบางสิ่งในประวัติการบาดเจ็บของเขาที่บอกกับตัวเองว่า -ฉันจำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อแกนกลาง (trunk) ที่แข็งแรงมาก และต้องทรงพลังในด้านการหมุนลำตัว-” โรเซนบลัต กล่าวเสริม 

"เขาสามารถระบุได้ว่านี่คือสิ่งสำคัญ ทั้งต่อการเล่นของเขาเองและต่อประวัติการบาดเจ็บของเขา และเขาก็ทุ่มเทฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอในเรื่องนี้"

"นี่คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้นักเตะยังคงความแข็งแกร่งและความทนทานได้ยาวนานในอาชีพค้าแข้ง"

...

นอกเหนือจากสนามซ้อม ซาลาห์ ยังคงทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

ภายในบ้านที่เขาอาศัยอยู่ร่วมกับ มาจิ ภรรยา และลูกสาวสองคน มัคค่า กับ คายาน มีห้องถึงสองห้องที่ถูกจัดสรรไว้เป็นยิมส่วนตัว มันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกาย ทั้งฟรีเวต, ลู่วิ่งไฟฟ้า, จักรยานออกกำลังกาย, เครื่องพิลาทิสขนาดเล็ก และเครื่องฝึกแรงต้านหลากหลายชนิด

รวมถึงอุปกรณ์สำหรับการทำ ครายโอเธอราพี (Cryotherapy) หรือการบำบัดด้วยความเย็นจัด อุณหภูมิต่ำกว่าลบ 80 องศาเซลเซียส (-112°F) ซึ่งช่วยเร่งการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกาย โดยลดอาการเจ็บและการอักเสบ 

อีกทั้งยังมี ห้องไฮเปอร์บาริก (Hyperbaric chamber) ที่ทำให้เขาสามารถหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ภายใต้แรงดันอากาศที่สูงกว่าปกติสองถึงสามเท่า ซึ่งงานวิจัยบางชิ้นระบุว่าอาจช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเพิ่มความทนทานได้

ซาลาห์ เคยพูดติดตลกว่า บ้านของเขาดูคล้ายโรงพยาบาลมากกว่า และเมื่อถึงเวลาที่ลูก ๆ เข้านอน เขามักจะลงไปที่ยิมในบ้านเพื่อโฟกัสการฝึกเฉพาะด้าน เช่น ความยืดหยุ่นหรือความคล่องตัว 

"ภรรยาชอบบอกว่าผมใช้เวลากับเครื่องออกกำลังกายมากกว่าอยู่กับเธอเสียอีก" 

และสิ่งเหล่านี้ก็เห็นผลชัดเจน ฤดูกาลที่แล้ว ซาลาห์ ลงสนามครบทุกนัดใน พรีเมียร์ลีก ให้กับ ลิเวอร์พูล และนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขาเลย เพราะก่อนจะบาดเจ็บแฮมสตริงในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ 2024 เขาพลาดเกมลีกเพียง 10 นัดตลอดระยะเวลา 6 ปีครึ่งที่ แอนฟิลด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสุดมหัศจรรย์สำหรับนักเตะที่ต้องเจอกับการเข้าปะทะหนัก ๆ จากกองหลังคู่แข่งแทบทุกเกม

ลุค แอนโธนี่ ผู้อำนวยการด้านคลินิกของศูนย์บาดเจ็บกีฬา GoPerform อธิบายว่า หลายปัจจัยรวมถึงพันธุกรรมมีส่วนสำคัญ 

"เราทราบกันดีว่าอาการบาดเจ็บบางประเภท อย่างเช่นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า (ACL) มักมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้บางคนเสี่ยงต่อการเจ็บลักษณะนี้มากกว่าคนอื่น"

ประวัติการบาดเจ็บก็เป็นตัวกำหนดความทนทานในอนาคตของนักเตะเช่นกัน 

"ถ้าคุณเคยเจ็บมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นแฮมสตริง, ต้นขา หรือหัวเข่า โอกาสที่คุณจะบาดเจ็บซ้ำก็สูงกว่าคนที่ไม่เคยเจ็บ" แอนโธนี่ กล่าว 

"หากได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นอาชีพ แม้ว่ามันจะหายดีแล้ว แต่ความเสี่ยงนั้นก็ยังติดตัวคุณไปตลอด"

บางครั้งเรื่องอาการเจ็บก็ขึ้นอยู่กับดวงและสถานการณ์รอบตัว ทั้งจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสโมสรแต่ละวัน รวมถึงวิธีที่กุนซือจัดการโหลดการซ้อม

...

ซาลาห์ เป็นแฟนตัวยงของ พิลาทิส (Pilates) เขามีเครื่อง Reformer ตั้งอยู่ในห้องยิมข้าง ๆ แท่นวางบาร์เบลสำหรับฝึกสควอต และลู่วิ่ง 

"เวลาคุณเล่นกีฬา มันมักทำให้ร่างกายเสียช่วงการเคลื่อนไหวไป" ดร.โรเซนบลัต อธิบายต่อ 

"นักฟุตบอลอาจสูญเสียความยืดหยุ่นบริเวณข้อเท้า สะโพก หรือกระดูกสันหลังช่วงกลาง (thoracic spine) และพิลาทิสจะช่วยฟื้นฟูกลับมา"

เครื่อง Reformer ยังท้าทายร่างกายในรูปแบบที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ต้องอาศัยการตระหนักรู้ในร่างกายสูงมากเพื่อทำได้ถูกต้อง 

"มันคือโอกาสที่จะตรวจเช็กสภาพร่างกาย ว่าส่วนไหนตึงเกินไป สูญเสียการเคลื่อนไหวไป หรือส่วนใดที่ต้องการการเสริมความแข็งแรง"

"คุณต้องมีความแม่นยำและการควบคุมร่างกายขั้นสูงเพื่อทำมันได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬา โดยเฉพาะคนที่ต้องการยืดอายุการค้าแข้งของตัวเอง"

หลายคนพอจะทราบกันดีว่า นอกจาก พิลาทิส แล้ว ซาลาห์ ยังฝึก โยคะ ด้วย 

ตอนฤดูกาล 2018-19 หลังจากยิงประตูใส่ เชลซี เขาเคยฉลองด้วยท่าต้นไม้ (Tree Pose) ยืนขาเดียว วางฝ่าเท้าอีกข้างบนต้นขาด้านใน และชูแขนขึ้นเหนือศีรษะ ซึ่งต้องใช้ทั้งการทรงตัว สมาธิ และความมั่นคงของร่างกายอย่างสูง

"ผมเป็นคนเล่นโยคะ!" ซาลาห์ กล่าวอย่างตื่นเต้นระหว่างการให้สัมภาษณ์หลังเกม พร้อมใส่ชื่อตัวเองเข้าไปในรายชื่อที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของนักเตะที่ยกย่องคุณประโยชน์ของศาสตร์นี้ ซึ่งช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นและความแข็งแกร่งของแกนกลางลำตัว ทั้งสองสิ่งล้วนสำคัญต่อการป้องกันการบาดเจ็บ

โยคะยังช่วยให้ ซาลาห์ ควบคุมสภาพจิตใจและอารมณ์ได้ดีขึ้น ในการฝึกโยคะ มักจะเน้นไปที่การกำหนดลมหายใจ โดยเฉพาะการหายใจจากท้องมากกว่าจากอก ซึ่งช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลง

โรเซนบลัต ได้นำ Breathwork หรือการฝึกควบคุมลมหายใจมาใช้กับทีมชาติอังกฤษในปี 2020 หลังจากเห็นว่านักเตะหมดพลังอย่างมากหลังเกมยิงจุดโทษชนะโคลอมเบีย ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2018 

"ทุกคนเหมือนหมดแรงไปเลย ไม่ใช่แค่สภาพร่างกาย แต่เป็นสภาพจิตใจ อารมณ์ พวกเขาหมดสิ้นจริง ๆ"

"เราตระหนักว่าถ้าอยากก้าวไปอีกขั้น สิ่งนั้นคือสิ่งที่เราต้องฟื้นฟู หากอยากประสบความสำเร็จ ความกดดันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคุณไม่สามารถใช้แค่การฝึกสมรรถภาพอย่างเดียวมารับมือได้ คุณต้องหาวิธีถ่วงดุลมันในบางรูปแบบ"

การฝึกหายใจสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic nervous system) ซึ่งทำหน้าที่ถ่วงดุลกับระบบประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nervous system) หรือปฏิกิริยาสู้หรือหนีที่นักเตะมักตกอยู่ในสภาวะนั้นเสมอ เมื่อถูกกดดันให้เล่นในระดับสูงสุดตลอดเวลา

"การควบคุมและจัดการอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ต้องทำผลงานท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า" 

...

สมัยอยู่กรุงโรม ซาลาห์ ยังได้อ่านเรื่องราวของ ไมเคิล เฟลป์ส นักว่ายน้ำเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก ที่ใช้การทำสมาธิและการสร้างภาพในจินตนาการเพื่อยกระดับผลงานของตัวเอง 

นับจากนั้น ซาลาห์ ก็เริ่มนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยใช้เวลาสองสามนาทีหลังตื่นนอน หลับตาแล้วจินตนาการว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ของการทำประตู และยังนำมาผสมผสานกับการศึกษาข้อมูลผู้รักษาประตูที่จะต้องเผชิญหน้าในเกมถัดไป

"ความแข็งแกร่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เขาสามารถรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นได้ต่อเนื่อง" ดร. เจมส์ มาโลน นักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เคยทำงานกับ ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2010–2013 กล่าว

มาโลน มองว่า ความแข็งแกร่งของ ซาลาห์ ไม่ได้มาจากร่างกายที่สมบูรณ์และการฟื้นฟูเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลจากสไตล์การเล่นที่ฉลาด 

เขาเลือกเคลื่อนไหวอย่างมีแบบแผน ไม่เปลืองแรงเกินจำเป็น คล้ายกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ที่แม้จะวิ่งด้วยความเข้มข้น แต่จะเลือกใช้พลังในจังหวะที่สำคัญจริง ๆ เท่านั้น

"ซาลาห์ ไม่ใช่นักเตะที่วิ่งไล่เสียบสไลด์แท็กเกิลให้เปลืองแรง เขามักจะหลบออกจากจังหวะเสี่ยงบาดเจ็บ แล้วเก็บพลังไว้ใช้ในเวลาที่บอลมาถึง พอได้จังหวะเล่นเกมรุก เขาก็เหมือนเปิดสวิตช์ กลับมาระเบิดสปีดและเคลื่อนไหวด้วยความเข้มข้นเต็มที่"

ซาลาห์ เคยบอกกับ เลอ กิ๊ป ว่าเขามักจะวิเคราะห์ท่าทาง (ของคู่แข่ง) เพื่อคาดเดาการเคลื่อนไหวของพวกเขาล่วงหน้า ซึ่งการฝึกสปีดและความคล่องตัวก็ช่วยให้เขามีความได้เปรียบ

อย่างไรก็ตาม แม้วิธีการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเกมของ ซาลาห์ มานาน แต่ในฤดูกาล 2024/25 ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในบทบาทที่เขาถูกใช้งาน 

โดยสถิติจาก SkillCorner ที่บันทึกข้อมูลตลอด 7 ฤดูกาล แสดงให้เห็นว่าเขามีการวิ่งไล่บอลนอกจังหวะ (off-ball runs) น้อยที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมา ลิเวอร์พูล

ไม่เพียงแต่เขาจะวิ่งน้อยลงเท่านั้น แต่ยังเร่งสปีดน้อยลงด้วยเช่นกัน ตัวเลขการเร่งสปีดเข้มข้น (high-intensity accelerations — การวิ่งเร่งที่เกิน 3 เมตร/วินาที²) 

มันลดลงจากค่าเฉลี่ย 10.97 ครั้งต่อเกมในฤดูกาล 2023/24 เหลือเพียง 8.95 ครั้งต่อเกมในฤดูกาล 2024/25 

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงการถดถอยทางร่างกายอย่างกะทันหัน แต่เป็นการปรับรูปแบบแท็กติกใหม่ภายใต้เฮดโค้ชคนใหม่ และที่สำคัญ มันไม่ได้กระทบต่อประสิทธิภาพของ ซาลาห์ เลย

ทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กลับทำให้ ซาลาห์ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เขาเลือกจังหวะการเคลื่อนที่อย่างมีแบบแผนมากกว่าเดิม และการวิ่งของเขากลายเป็นการสร้างโอกาสยิงและทำประตูมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

ฤดูกาลที่แล้ว ซาลาห์ สร้างโอกาสยิงได้เกือบ 2.5 ครั้งต่อเกมจากการเคลื่อนที่ไม่มีบอล ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในฤดูกาล 2018/19 แม้ว่าเขาจะวิ่งน้อยลงก็ตาม

อีกจุดที่เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดในเกมของซาลาห์เมื่อซีซั่นที่แล้ว ก็คือจังหวะการวิ่งไม่มีบอล ภายใต้แท็กติกของเฮดโค้ชอาร์เน่อ รูปแบบการวิ่งของ ซาลาห์ กลับไปใกล้เคียงกับปีกสไตล์ดั้งเดิม แตกต่างจากบทบาทกองหน้าตัวในที่เคยใช้ตอนยุค คล็อปป์

ผลก็คือ ซาลาห์ เริ่มต้นการวิ่งจากตำแหน่งที่ลึกลงมากกว่าเดิม ไม่ได้ยืนรอสูงเหมือนเมื่อก่อน ตัวเลขชัดเจนจากสถิติระบุว่า สัดส่วนการวิ่งที่เริ่มในพื้นที่สูงลดจาก 56% ในฤดูกาล 2019/20 เหลือเพียง 44% ในซีซั่นล่าสุด

การขยับจุดเริ่มต้นการวิ่งของ ซาลาห์ ให้ลึกลงมา ทำให้เขามีพื้นที่ว่างตรงหน้ามากขึ้น เหมือนมีรันเวย์ให้เร่งสปีดเต็มที่ ก่อนจะเข้าไปดวลกับแนวรับคู่แข่ง

หากย้อนดูตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19 จะเห็นว่า ซาลาห์ เริ่มต้นการวิ่งจากจุดที่ห่างจากกองหลังใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ แนวโน้มนี้สะท้อนทั้งการปรับวิธีเคลื่อนไหวของเขาเอง และการปรับแท็กติกของแนวรับฝ่ายตรงข้ามที่ต้องหาทางรับมือความเร็วอันจัดจ้านของเขา

กองหลังคู่แข่งในตอนนี้อาจระมัดระวังมากขึ้น ไม่กล้าเข้าประกบ ซาลาห์ แน่นเกินไป แต่เลือกที่จะถอยห่างเพื่อมีเวลารับมือกับการใช้สปีดของเขามากกว่า 

ไม่ว่าจะเป็นแท็กติกที่ ลิเวอร์พูล วางไว้โดยตั้งใจ หรือเป็นเพียงการปรับตัวของคู่แข่งก็ตาม การเพิ่มระยะห่างระหว่าง ซาลาห์ กับตัวประกบทำให้เขามีเวลามากขึ้นในการเร่งสปีดเข้าสู่พื้นที่ว่าง

พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยรักษาความอันตรายของเขาไว้ และทำให้ ซาลาห์ สามารถเร่งไปถึงความเร็วสูงสุดได้มากกว่าเดิม ฤดูกาลที่แล้ว สถิติความเร็วสูงสุดในการสปรินต์ของเขาอยู่ที่ 31.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกมา

นั่นแสดงให้เห็นว่า แม้จำนวนครั้งที่เขาเร่งสปีดหนัก ๆ จะลดลง แต่ความสามารถในการแตะความเร็วสูงสุดของเขาไม่ได้ลดลงเลย

...

โภชนาการคืออีกหนึ่งรากฐานสำคัญ และเป็นสิ่งที่ ซาลาห์ ให้ความสำคัญเอามาก ๆ ถึงขั้นที่เขามักสังเกตแม้กระทั่งวิธีการกินของเพื่อนร่วมทีมด้วย

ช่วงปรีซีซั่นก่อนฤดูกาล 2021/22 เขาเคยเห็น ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต ตักขนมปังขาวสองแผ่นใส่จาน ซึ่งเขาก็แนะนำรุ่นน้องให้ทานแค่ครึ่งหนึ่ง

"ส่วนใหญ่มื้อเช้าของผมเป็นขนมปังกับถั่วหรืออโวคาโด" เอลเลียตต์ เล่าให้ The Times ฟังในปี 2022 

"ตอนนี้ผมเปลี่ยนมาเป็นขนมปังโฮลวีต ซึ่งดีต่อสุขภาพกว่ามาก"

บทสัมภาษณ์แบบเป็นกันเองกับ Men in Blazers เมื่อปีที่แล้ว ผู้ดำเนินรายการถาม ซาลาห์ ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีกล้ามท้องแบบเขาได้ 

คำตอบของเขาคือ "คุณต้องลดการกินขนมปัง หรืออย่างน้อยก็เลือกขนมปังที่ไม่มีกลูเตน ลดนม กินชีสน้อย ๆ แล้วก็หันไปกินผักให้มาก ๆ และเลี่ยงน้ำตาลด้วย"

ซาลาห์ เคยบอกว่าอาหารที่เขาชื่นชอบได้แก่ บรอกโคลี,มันเทศ, ปลา, ไก่ และสลัด ส่วนเวลาทานนอกบ้านเขามักเลือก ซูชิ เขาอนุญาตให้ตัวเองกินพิซซ่าได้เดือนละครั้ง แม้จะชอบเบอร์เกอร์แต่แทบไม่แตะเลย และทุกครั้งที่กลับไป อียิปต์ เขาจะกินโคชะริ (Koshari ที่ทำจากพาสต้า ข้าว, ถั่วเลนทิล, ถั่วชิกพี และเครื่องเทศ) เป็นประจำ

แอลกอฮอล์ไม่เคยอยู่ในหัวของเขา เนื่องจาก ซาลาห์ เป็นมุสลิมที่เคร่งครัดและงดดื่มโดยสิ้นเชิง ซึ่ง คล็อปป์ เคยชื่นชมว่านี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาและ ซาดิโอ มาเน่ สามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว แม้ต้องลงเล่นถึง 7 นัดในศึกแอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ 2022

ดร. ร็อบ นอร์ตัน นักโภชนาการด้านสมรรถนะการกีฬา ผู้ที่เคยทำงานร่วมกับสโมสรฟุตบอลและนักเตะทีมชาติในฐานะที่ปรึกษาของ Intra Performance Group อธิบายว่า คาร์โบไฮเดรตคือเชื้อเพลิงหลักสำหรับนักฟุตบอล แต่สิ่งสำคัญคือการบริโภคต้องถูกจัดช่วงเวลาอย่างเหมาะสม

"ในวันที่การฝึกซ้อมเบา ๆ ร่างกายจะไม่ต้องการคาร์โบไฮเดรตมาก แต่เมื่อคุณใกล้ถึงวันแข่งขัน คุณจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณเข้าไป" เขากล่าว 

"นี่คือวิธีการช่วยให้นักเตะคงสภาพร่างกายที่เหมาะสม พร้อมทั้งยังมั่นใจได้ว่าพวกเขามีพลังงานเพียงพอสำหรับการลงสนาม"

ซาลาห์ อาจเลือกแหล่งคาร์โบไฮเดรตอื่นแทนขนมปัง แต่ ดร. นอร์ตัน ชี้ว่าประเด็นสำคัญคือ นักเตะแต่ละคนต้องหาสิ่งที่เหมาะกับร่างกายของตัวเองให้เจอ

"หนึ่งในสโมสรที่ผมทำงานด้วยจัดหาพาสต้าปราศจากกลูเตนให้ เพราะเวลาที่นักเตะกินพาสต้าที่ทำจากแป้งสาลีปริมาณมาก (เช่น ก่อนวันแข่ง) บางคนจะมีอาการท้องอืด แต่เราเจออาการนี้น้อยกว่ามากเมื่อเลือกใช้พาสต้าแบบฟรีกลูเตน"

ผลงานของซาลาห์ ฤดูกาลที่แล้ว คือผลลัพธ์จากหลายปัจจัย ทั้งในและนอกสนาม แต่สิ่งที่เชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกันคือ ความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเล่นได้ดีที่สุด ไม่ว่าตัวเขาจะอายุเท่าไรก็ตาม

"ไม่ว่าจะเป็นการฝึกควบคุมลมหายใจ (breathwork), การสร้างภาพในจินตนาการ (visualisation), การทำสมาธิ, พิลาทิส, โยคะ, การฝึกแกนกลางลำตัว การที่จะทำสิ่งเหล่านี้ทุกวันแบบไม่ขาด ต้องใช้ทั้งวินัย ความพยายาม และความสม่ำเสมออย่างมหาศาล และนี่เรายังไม่ได้พูดถึงการเล่นฟุตบอลด้วยซ้ำ!" โรเซนบลัต กล่าว

หลายคนอาจสงสัยว่า ซาลาห์ ยังจะพัฒนาตัวเองต่อได้จริงหรือ เมื่อเข้าสู่วัยกลางสามสิบ?

อดีตโค้ชสมรรถภาพร่างกายทีมชาติอังกฤษคนนี้ เล่าประสบการณ์การทำงานกับนักเตะที่เพิ่งทำลายสถิติความเร็วสูงสุดของตัวเองได้ในวัย 33 ปี และบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

"ในโลกกีฬามีตัวอย่างมากมายของนักเตะที่พีคด้านพละกำลังและความระเบิดในช่วงปลายอาชีพ เพราะพวกเขาลงทุนกับร่างกายและใส่ใจทุกรายละเอียด"

"สิ่งที่น่าทึ่งจริง ๆ ไม่ใช่แค่การเล่นฟุตบอล แต่คือความมุ่งมั่นที่จะทำทุกสิ่งรอบตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พร้อมที่สุด"

"ต่อให้เคยมีประวัติการบาดเจ็บหนัก แต่หากนักเตะมีทัศนคติที่จะทำมากกว่าการยืดอายุค้าแข้ง คุณอาจได้เห็นคนที่ยังคงพัฒนาร่างกายต่อไปเรื่อย ๆ สะสมประสบการณ์ และรู้วิธีเล่นเกมอย่างชาญฉลาด ซึ่งนักเตะแบบนั้นอันตรายสุด ๆ"

"และทุกวันนี้ ซาลาห์ คือตัวอย่างที่ชัดเจน"

HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : getty image
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport