กฎของเกมฟุตบอลนั้นมีการพยายามปรับเปลี่ยนกันอยู่เรื่อยๆ โดยฝ่ายที่ออกกฎให้เหตุผลว่าต้องการทำให้เกมฟุตบอลมีความยุติธรรมและเที่ยงตรงมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าบางครั้งมันก็ช่วยได้ แต่บางครั้งก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ ล่าสุด เดลี่ เมล เผยว่าในฤดูกาลนี้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็มีการเปลี่ยนแปลงกฎหรือมาตรการบางอย่างเช่นกัน เพื่อหวังว่ามันจะส่งผลดีกับเกมฟุตบอลภายในเมืองผู้ดี
หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ว่าจะมีการเข้มงวดกับการจังหวะ "ดึงคู่แข่ง" มากขึ้นในจังหวะลูกเซตพีซ หลังจากที่ผ่านมานักเตะบางคนชอบดึงหรือเหนี่ยวแขนคู่แข่งด้วยแขนทั้ง 2 ข้างของตัวเอง และหมกมุ่นอยู่กับการหน่วงคู่แข่งมากกว่าการตั้งใจเล่นบอล
ทั้งนี้ หากกรรมการมองว่านักเตะคนนั้นตั้งใจดีงหรือเหนี่ยวคู่แข่งมากเกินไป มันก็จะมีการเป่าฟาวล์ทันที ซึ่งนั่นอาจส่งผลให้มีลูกจุดโทษเกิดขึ้นตามไปด้วย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าเวลามีจังหวะลูกเตะมุมหรือลูกฟรีคิกแล้วนั้นมันก็มักจะเกิดการแย่งพื้นที่กันในกรอบเขตโทษบ่อยๆ
แน่นอน หากมีการเป่าให้เป็นลูกจุดโทษจากจังหวะแบบนี้ วีเออาร์ ก็สามารถตรวจสอบได้ว่ามันสมควรเป็นการฟาวล์หรือไม่ เช่นเดียวกับการที่ วีเออาร์ สามารถแย้งเข้ามาได้หากกรรมการมองไม่เห็นว่ามีการดึงหรือเหนี่ยวกัน
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงจากรายงานของ เดลี่ เมล ก็คือในการตัดสินจังหวะสำคัญนั้น กรรมการในสนามสามารถสั่งได้ว่าจะมีแค่คนที่เป็นกัปตันทีมเท่านั้นที่สามารถเข้ามารับฟังเหตุผลของคำตัดสินในจังหวะต่างๆ ได้ ซึ่งกัปตันทีมเองก็ต้องสั่งห้ามลูกทีมเข้ามาใกล้กรรมการด้วย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียดนั่นเอง
สำหรับกรณีที่ทีมใดทีมหนึ่งมีผู้รักษาประตูสวมปลอกแขนอยู่ ทีมนั้นๆ ก็สามารถเสนอชื่อนักเตะเอาท์ฟิลด์คนหนึ่งให้มารับฟังคำอธิบายแทนได้ มันจะได้ไม่เสียเวลามากเกินไป
อย่างที่รู้กันดีว่าก่อนหน้านี้ พรีเมียร์ลีก เคยประกาศเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปแล้วหลายอย่าง อาทิเช่น การที่ผู้รักษาประตูต้องห้ามถ่วงเวลาเกิน 8 วินาที และการที่จะติดกล้องกับผู้ตัดสินในช่วง 6-8 นัดแรก หรือที่เรียกกันว่า "Ref-cam" ที่ใช้ไปในศึกชิงแชมป์สโมสรโลก 2025 ส่วนมาตรการทั้งหมดนี้จะส่งผลแค่ไหนก็คงต้องรอดูกันต่อไป