แรงกดดันจากเจ้าของทีมชาวอเมริกันอาจทำให้พรีเมียร์ลีกพิจารณาจัดแข่งนอกประเทศ แม้ยังปฏิเสธในตอนนี้ แต่ศักยภาพรายได้มหาศาลจากตลาดสหรัฐฯ-เอเชีย อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกม
หลังอิตาลีและสเปนจุดกระแสจัดแมตช์ลีกนอกประเทศ พรีเมียร์ลีกกำลังเผชิญแรงกดดันจากเจ้าของสโมสรชาวอเมริกันให้พิจารณาเดินตามรอย แม้จะยังปฏิเสธในตอนนี้ แต่ศักยภาพรายได้จากตลาดสหรัฐฯ และเอเชียอาจทำให้แผนเตะต่างแดนกลับมาบนโต๊ะอีกครั้ง พร้อมข้อถกเถียงเรื่องผลกระทบต่อแฟนบอลท้องถิ่นและความได้เปรียบในสนามเหย้า
ณ ตอนนี้มีการยืนยันทางการแล้วว่า ลีกอิตาลีเตรียมส่งเกม เอซี มิลาน พบ โคโม่ ไปเล่นไกลกว่า 8,500 ไมล์ที่เมืองเพิร์ท ออสเตรเลีย ขณะที่ สเปนวางคิวเกม บียาร์เรอัล พบ บาร์เซโลน่า ที่ฮาร์ดร็อค สเตเดียม นครไมอามี สหรัฐฯ คำถามก็ตามมาทันทีว่า พรีเมียร์ลีกจะเดินตามรอยหรือไม่?
แผนต่างแดนของคู่แข่ง และสัญญาณเปลี่ยนเกม
สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลีและสเปนยื่นเรื่องขออนุมัติไปยัง ฟีฟ่า-ยูฟ่า เพื่อให้เกมลีกเล่นนอกประเทศ โดยฟีฟ่าเองก็กำลังทบทวนกฎ หลังคดีระหว่างฟีฟ่าและบริษัทโปรโมต Relevant Sports ในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วทำให้ “ประตูเปิดแง้ม” สำหรับแมตช์ลีกในต่างแดน ซึ่งซีอีโอพรีเมียร์ลีก ริชาร์ด มาสเตอร์ส ยอมรับว่าเป็นไปได้ในอนาคต
แม้พรีเมียร์ลีกยืนยัน “ยังไม่มีแผน” แต่แรงกดดันจากเจ้าของสโมสรชาวอเมริกันที่มีถึง 11 ทีมในลีก (ใกล้ถึงเกณฑ์โหวตเปลี่ยนกฎ 14 ทีม) อาจทำให้กระแสนี้กลับมาแรง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของเหล่านี้หลายรายก็มีทีมกีฬาใน NFL, NBA, MLB ซึ่งเล่นแมตช์ประจำฤดูกาลนอกประเทศเป็นเรื่องปกติ
ทำไมเจ้าของทีมถึงสนใจ?
รายได้แมตช์เดย์ของสโมสรพรีเมียร์ลีกระดับกลางเฉลี่ยต่ำกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อเกม ขณะที่ตลาดอเมริกันมีแฟนพร้อมจ่ายค่าเข้าชมระดับพรีเมียม ตั๋ว NFL เฉลี่ย 132 ดอลลาร์ (ราว 105 ปอนด์) หมายความว่าการเตะในสนามความจุ 60,000 ที่นั่งแบบ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม อาจทำเงินได้ถึง 6.3 ล้านปอนด์ต่อเกม ยังไม่รวมรายได้จากสินค้าที่ระลึกและการต้อนรับพิเศษ (hospitality)
สำหรับทีมใหญ่เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส ที่มีฐานแฟนทั่วโลก การเล่นนอกประเทศอาจทำเงินมากกว่าเกมเหย้าปกติ แต่สำหรับทีมเล็กอย่าง บอร์นมัธ หรือ เบิร์นลี่ย์ การเสียเปรียบด้านเสียงเชียร์ในบ้านอาจกระทบโอกาสเก็บแต้ม โดยแต่ละอันดับในตารางพรีเมียร์ลีกมีมูลค่าเงินรางวัลถึง 3.5 ล้านปอนด์
มุมมองฝั่งแฟนบอลและนักวิเคราะห์
ไนออล คูเปอร์ ซีอีโอองค์กร Fair Game เตือนว่าการรื้อไอเดีย “แมตช์ที่ 39” คือสัญญาณอันตรายต่อแฟนบอลท้องถิ่น เพราะเป็นการให้ความสำคัญกับตลาดโลกมากกว่ารากเหง้าของสโมสร ขณะที่ บิล โฟลีย์ เจ้าของสโมสรบอร์นมัธชาวอเมริกัน และ ริชาร์ด มาสเตอร์ส ซีอีโอพรีเมียร์ลีก ยืนยันไม่สนับสนุนการเตะลีกนอกประเทศในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าของสโมสรบางรายเช่น ทอม แว็กเนอร์ (เบอร์มิงแฮม ซิตี้) เคยเสนอว่าควรพิจารณาอย่างจริงจังกับเกมฟุตบอลถ้วยที่เล่นต่างแดน แม้จะยังไม่สนับสนุนเกมลีก
ข้อได้เปรียบอาจถูกบั่นทอน
แม้พรีเมียร์ลีกจะมีถึง 14 สโมสรอยู่ในท็อป 30 รายได้สูงสุดโลก (Deloitte Money League) แต่หาก ลา ลีกา และ เซเรียอา เดินหน้าจัดแมตช์ต่างแดนได้สำเร็จ ส่วนแบ่งตลาดและความได้เปรียบเชิงแบรนด์ของพรีเมียร์ลีกอาจเริ่มลดลง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และเอเชียที่มีศักยภาพทำเงินมหาศาล