ลิเวอร์พูล ทุ่ม 240 ล้านล่าแข้งใหม่! เบื้องหลังงบเสริมทัพไม่ใช่แค่เงินแชมป์

ลิเวอร์พูล ทุ่ม 240 ล้านล่าแข้งใหม่! เบื้องหลังงบเสริมทัพไม่ใช่แค่เงินแชมป์
ลิเวอร์พูล เดินหน้าทุ่มเสริมทัพทะลุ 240 ล้านปอนด์ซัมเมอร์นี้ ล่าสุดจ่อคว้า อูโก้ เอกิติเก้ จากแฟร้งค์เฟิร์ต พร้อมเปิดเบื้องหลังงบช็อปก้อนโตที่มากกว่าแค่เงินแชมป์พรีเมียร์ลีก

ยังเดินหน้าใช้เงินเสริมทัพไม่หยุดสำหรับ ลิเวอร์พูล กับการลุยตลาดในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากล่าสุดกระแสข่าวทุกสำนักเทไปในทิศทางว่าพวกเขาบรรุลข้อตกลงในเบื้องต้นกับ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต สำหรับการที่จะดึง อูโก้ เอกิติเก้ กองหน้าชาวฝรั่งเศสมาร่วมทีมได้แล้ว

รายงานระบุว่า ลิเวอร์พูล จะจ่ายค่าตัวในเบื้องต้นเป็นเงิน 69 ล้านปอนด์ ซึ่งอาจจะเพิ่มไปเป็น 78 ล้านปอนด์ได้ในกรณีที่รวมค่าอ็อปชั่นต่างๆ โดยตอนนี้เหลือแค่ให้ทั้ง 2 ทีมหาข้อสรุปเรื่องรายละเอียดค่าอ็อปชั่นทั้งหมดให้ได้

ถ้าหาก ลิเวอร์พูล ได้ตัว เอกิติเก้ มาร่วมทีม ก็จะเท่ากับว่าในตลาดช่วงซัมเมอร์นี้พวกเขาควักกระเป๋าซื้อนักเตะไปรวมแล้วถึง 240 ล้านปอนด์ แบ่งเป็น ฟลอเรียน เวียรต์ซ ที่จ่ายเงินในเบื้องต้นให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เป็นจำนวน 100 ล้านปอนด์, มิลอส เคอร์เคซ ที่มีค่าตัว 40 ล้านปอนด์, เจเรมี่ ฟริมปง ที่พวกเขาจ่ายไป 29.5 ล้านปอนด์ และค่าตัวของ อาร์มิน เพชซี่ ผู้รักษาประตูดาวรุ่งอีก 1.5 ล้านปอนด์ แน่นอนว่าเงินส่วนนี้ยังไม่นับรวมพวกค่าอ็อปชั่นพ่วงตามผลงานของนักเตะอีก

สำหรับแฟนบอลหลายคนนั้นอาจจะไม่คุ้นเคยกับภาพที่ ลิเวอร์พูล จ่ายเงินก้อนโตกับการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ จนนำไปสู่คำถามว่าทำไมตลาดรอบนี้ ลิเวอร์พูล ถึงสามารถใช้เงินได้เยอะขนาดนั้น หรือมันจะเป็นเพราะเงินรางวัลจำนวน 175 ล้านปอนด์ จากการเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลก่อน ?

- ผลพวงจากอดีต

ต้องบอกว่าเงินรางวัลจากตำแหน่งแชมป์เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มีงบช็อปเยอะในตอนนี้ โดยปัจจัยที่สำคัญกว่ามันมาจากการบริหารในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือตลาดช่วงซัมเมอร์ ปีก่อน ที่พวกเขาจ่ายเงินไปเพียง 35 ล้านปอนด์ ประกอบด้วยค่าตัวของ เฟเดริโก้ เคียซ่า 10 ล้านปอนด์ กับดีลมูลค่า 25 ล้านปอนด์ของ จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ ผู้รักษาประตูชาวจอร์เจียที่ดึงมาจาก บาเลนเซีย แบบล่วงหน้า

ในตลาดหลายปีก่อน ลิเวอร์พูล ไม่ได้ลงทุนสูงมากมายอะไร โดยถ้ามองไปที่  "จำนวนเงินสุทธิ" ในตลาดการเสริมทัพ หรือก็คือตัวเลขที่เอารายจ่ายกับรายรับเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะมาหักลบกันในตลาดช่วง 9 ครั้งหลังสุดแล้วล่ะก็ ตลาดช่วงซัมเมอร์นี้ก็เพิ่งเป็นครั้งเดียวที่พวกเขามีจำนวนเงินสุทธิในตลาดเป็นการจ่ายเงินไปเกิน 100 ล้านปอนด์

จำนวนเงินสุทธิในตลาดการเสริมทัพของ ลิเวอร์พูล ในตลาด 9 ครั้งหลังสุด (สัญลักษณ์ + หมายถึงขายนักเตะได้มากกว่าที่จ่ายไป ส่วนสัญลักษณ์ - หมายถึงใช้เงินไปกับการซื้อนักเตะมากกว่าที่ขายได้)

ตลาดช่วงซัมเมอร์ 2021 (+7.3 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงหน้าหนาว 2022 (-37.5 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงซัมเมอร์ 2022 (-12.8 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงหน้าหนาว 2023 (-37 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงซัมเมอร์ 2023 (-92.5 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงหน้าหนาว 2024 (+0 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงซัมเมอร์ 2024 (+17.8 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงหน้าหนาว 2025 (+0 ล้านปอนด์)

ตลาดช่วงซัมเมอร์ 2025 (-181.1 ล้านปอนด์ จนถึงปัจจุบัน)

มองอีกมุมก็คือใน 3 ฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูล มีจำนวนเงินสุทธิในตลาดการเสริมทัพต่อ 1 ฤดูกาลอยู่ที่ +17.8 ล้านปอนด์, -92.5 ล้านปอนด์ และ -49.8 ล้านปอนด์ โดยหากเปรียบเทียบกับฝั่ง แมนยูไนเต็ด มันก็ต่างกันอย่างมาก เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน "ปีศาจแดง" มีตัวเลขอยู่ที่ -119 ล้านปอนด์, -133 ล้านปอนด์ และ -190 ล้านปอนด์

- ควักกระเป๋าน้อยกว่าทีมอื่น

หากนับดีลของ เอกิติเ เข้าไปด้วยแล้วนั้น ตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2023-24 เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ก็ใช้เงินเสริมทัพไปแล้ว 444 ล้านปอนด์ ซึ่งถ้าดูแค่ตัวเลขแล้วมันฟังดูเยอะ แต่ถ้าไปเทียบกับทีมในบรรดา "บิ๊ก 6" ด้วยกันแล้วนั้น ทีมดังแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ยังใช้เงินน้อยกว่าทีมเหล่านั้นหลายทีมด้วยกัน

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ เชลซี เพราะในช่วงเวลาเดียวกันพวกเขาใช้เงินไปถึง 857.77 ล้านปอนด์ ตามมาด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จำนวน 561.85 ล้านปอนด์

ทีมในกลุ่ม บิ๊ก 6 ของ พรีเมียร์ลีก ที่ใช้เงินเสริมทัพมากที่สุดตั้งแต่ฤดูกาล 2023-24 เป็นต้นมา

1. เชลซี 857.77

2. แมนซิตี้ 561.85

3. แมนยูไนเต็ด 528.84

4. สเปอร์ส 517.78

5. ลิเวอร์พูล 444

6. อาร์เซน่อล 421.88

ตัวเลขข้างตั้นนั้น กรณีของ แมนยูไนเต็ด ถือเป็นการนับรวมดีลของ ไบรยัน เอ็มเบอโม่ กองหน้าชาวแคเมอรูนที่ปิดดีลกับ เบรนท์ฟอร์ด ได้ไปแล้ว ส่วนของ อาร์เซน่อล ยังไม่ได้นับรวมกรณีของ วิคตอร์ โยเคเรส ที่ปัญหายังคาราคาซังอยู่ ซึ่งถ้า โยเคเรส ได้ซบ "ไอ้ปืนใหญ่" ตัวเลขของ อาร์เซน่อล ก็จะแซง ลิเวอร์พูล ขึ้นไปอีก หลังจากลือกันว่าค่าตัวในเบื้องต้นที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ต้องการจากทีมดังแห่งถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม อยู่ที่ราว 55 ล้านปอนด์

- ยังไม่เสี่ยงผิดกฎ พีเอสอาร์

พรีเมียร์ลีก มีกฎที่ชื่อว่า Profit and Sustainability Rules (พีเอสอาร์) ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็จะได้ประมาณว่า "กฎด้านกำไรและความมั่นคง" โดยมันเป็นกฎควบคุมการเงินแบบที่ ยูฟ่า ใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมันถูกสร้างขึ้นเพื่อทำให้มั่นใจว่าแต่ละสโมสรจะมีสภาพการเงินที่ดีจนไม่เสี่ยงต่อการล้มละลาย

หนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของกฎ พีเอสอาร์ คือเรื่องที่ว่าแต่ละทีมใน พรีเมียร์ลีก จะสามารถขาดทุนได้สูงสุด 105 ล้านปอนด์ภายในช่วงระยะเวลา 3 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มีตัวเลขในบัญชีที่ดูดีจนทำให้พวกเขายังไม่เสี่ยงผิดกฎ พีเอสอาร์

ยกตัวอย่างเช่น ฤดูกาล 2024-25 มีการคาดกันว่าพวกเขาจะมีผลประกอบการ 700 ล้านปอนด์ โดยเป็นที่เชื่อกันว่าในปีงบประมาณของฤดูกาลก่อนนั้น ลิเวอร์พูล มีตัวเลขด้าน พีเอสอาร์ อยู่ที่ +48 ล้านปอนด์ หรือก็คือไม่เสี่ยงต่อการละเมิดเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้

ขณะที่ในช่วงซัมเมอร์นี้ถึงจะจ่ายเงินไปเยอะ แต่ ลิเวอร์พูล ก็ได้เงินจากการขายนักเตะในระดับหนึ่งเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น จาเรลล์ ควอนซาห์ ที่ขายให้ เลเวอร์คูเซ่น 30 ล้านปอนด์, ควีวิน เคลเลเฮอร์ ที่ย้ายไป เบรนท์ฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.5 ล้านปอนด์, นาธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ ที่ซบ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ด้วยเงิน 3 ล้านปอนด์ และแน่นอน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ทาง เรอัล มาดริด ยอมจ่าย 8.4 ล้านปอนด์ เพื่อจะรีบเอาเขาไปใช้งานในศึกชิงแชมป์สโมสรโลกครั้งล่าสุด

หนึ่งในจุดสำคัญที่ทำให้บัญชีของ ลิเวอร์พูล ยังไม่เสี่ยงต่อการละเมิดกฎ พีเอสอาร์ มาจากการที่พวกเขาทำดีลแบบผ่อนจ่ายนักเตะหลายคนตามระยะเวลาปีได้อย่างเหมาะสม จนทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระด้านการเงินมากเกินไป

สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ใช้เงินได้เยอะกว่าช่วงซัมเมอร์ของปีก่อนๆ และนั่นอาจจะทำให้ เอกิติเก้ ไม่ใช่นักเตะคนสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล จะดึงมาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ก็ได้


- เด็กเกร็ดบอล -



ที่มาของภาพ : Gettyimages
BY : เด็กเกร็ดบอล
เด็กเกร็ดบอล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport