คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพิ่งขยายสัญญาฉบับใหม่กับ อัล นาสเซอร์ เป็นเวลา 2 ปี หรือจนถึงปี 2027 พร้อมรับค่าเหนื่อยมหาศาล 180 ล้านยูโร (ราว 7,020 ล้านบาท)
กัปตันทีมชาติโปรตุเกส วัย 40 ปี ยังคงเป็นนักฟุตบอลที่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนทั่วโลกเสมอ โดยเฉพาะช่วงที่เขากำลังจะหมดสัญญากับ อัล นาสเซอร์ ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่านักเตะจะเลือกอยู่ในดินแดนเศรษฐีน้ำมันต่อไป หรือออกไปโลดแล่นหาความท้าทายใหม่กับสโมสรอื่นไม่ว่าจะในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา
สุดท้าย "ซีอาร์ เซเว่น" ตัดสินใจเลือกฝากอนาคตเอาไว้กับ อัล นาสเซอร์ ต่อไปโดยเซ็นสัญญา 2 ปีพร้อมรับทรัพย์มหาศาล โดยจากรายงานของ "บีอิน สปอร์ตส์" สื่อกีฬาชื่อดัง ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่ โรนัลโด้ จะได้รับค่าตอบแทนประมาณ 180 ล้านยูโรเลยทีเดียว
เม็ดเงินจำนวนดังกล่าวเมื่อเช็คจากเมื่อฤดูกาล 2024/2025 มีเพียง 8 สโมสรในลีกยุโรปได้แก่ เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, บาร์เซโลน่า และปารีส แซงต์-แชร์กแมง เท่านั้นที่มีค่าใช้จ่ายด้านค่าจ้างนักเตะทั้งทีมต่อปีสูงกว่ารายได้ต่อปีของ โรนัลโด้ ที่รับจาก อัล นาสเซอร์
กระนั้นจากข้อมูลของ FBref และ Capology ระบุว่า มี 6 สโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปที่ใช้จ่ายเงินค่าเหนื่อยนักเตะทั้งทีมต่อปี "น้อยกว่า" รายได้ต่อปีของ โรนัลโด้ ที่ได้รับจากยอดทีมจากลีกซาอุดีอาระเบีย โดยมีทีมไหนบ้างไปพิจารณากันได้เลย
1. ลิเวอร์พูล
สำหรับตอนนี้คงต้องรอดูว่าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลล่าสุด จะมีค่าจ้างรายปีเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนในช่วงซัมเมอร์นี้ เนื่องจากมีการสร้างทีมใหม่อย่างจริงจังของ อาร์เน่อ สล็อต กุนซือชาวดัตช์
"หงส์แดง" เพิ่มสร้างสถิติในการทุ่มเงินซื้อตัว ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มาร่วมทัพ และคาดว่าจะได้รับค่าเหนื่อยก้อนโตแน่นอน แต่กระนั้นการที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อำลาสโมสรทำให้ภาระเรื่องค่าเหนื่อยลดลงค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่าได้อย่างเสียอย่าง
สำหรับ 6 สโมสรที่อยู่ในลิสต์รายชื่อนี้ ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ มีรายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยใกล้เคียงกับรายได้ของ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวโปรตุกีส ที่สุด
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ค่าเหนื่อยของทีมประมาณ 152 ล้านยูโร (ราว 5,928 ล้านบาท)ซึ่งยังห่างจากค่าเหนื่อยของ โรนัลโด้ อยู่ประมาณ 28 ล้านยูโร (ราว 1,092 ล้านบาท) และดูเหมือนว่าการเสริมทัพของพวกเขาในช่วงซัมเมอร์นี้จะยังไม่เกินกรอบตัวเลขดังกล่าว
2. อินเตอร์ มิลาน
ทัพ "งูใหญ่" ใช้งบในการจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะเพียง 144 ล้านยูโร (ราว 5,616 ล้านบาท) น้อยกว่า เรอัล มาดริด ซึ่งรายจ่ายค่าเหนื่อย 272 ล้านยูโร (ราว 10,608 ล้านบาท) เกือบครึ่งหนึ่ง แต่สามารถทะลุเข้ารอบชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้งในรอบ 3 ปี ถือว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจพอสมควร
หากไม่นับเรื่องฟอร์มการเล่นในแมตช์ที่แพ้ยับไม่นับญาติ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในเกมรอบชิงถ้วยใบโตยุโรปเมื่อวีซั่นล่าสุด ต้องบอกว่าทัพ "เนรัซซูรี่" ถือเป็นสโมสรที่ใช้งบเรื่องค่าเหนื่อยไม่ได้เยอะมากนัก แต่ผลงานยังพอสร้างรอยยิ้มได้บ้าง
ปัจจุบัน อินเตอร์ มีการเสริมทัพด้วยการดึงตัว หลุยส์ เอ็นรีเก้, ปีเตอร์ ซูลจ์ และ นิโกล่า ซาเลฟสกี้ โดยพวกเขาเป็นแข้งใหม่ในยุค คริสเตียน คิวู แต่การมาของพวกเขาคงไม่ได้ส่งผลกระทบโดยรวมกับเรื่องโครงสร้างค่าเหนื่อยของทีมมากนัก
3. นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
เดอะ พับบลิค อินเวสต์เมนต์ ฟันด์ (พีไอเอฟ) กลุ่มทุนจาก ซาอุดิ อาระเบีย เข้ามาซื้อสโมสรนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งตั้งเป้านำสโมสรแห่งนี้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการลงทุน และผลงานในสนาม
อย่างไรก็ตาม ทัพ "สาลิกาดง" ยังไม่ได้ทุ่มใช้เงินแบบไร้ขีดจำกัดอย่างที่แฟนบอลคาดหวังเอาไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อจำกัดด้านกฎกำไรและความยั่งยืน (Profit and Sustainability Rules – PSR) ของพรีเมียร์ลีก
เมื่อซีซั่น 2024/2025 มีการประเมินกันว่า นิวคาสเซิ่ล มีรายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยประมาณ 122 ล้านยูโร (ราว 4,758 ล้านบาท) ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 14 ของยุโรป และเป็นอันดับ 8 ของพรีเมียร์ลีก แต่คาดว่าเม็ดเงินในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ทั้งจากการเสริมทัพเพิ่มเติม และการปรับค่าเหนื่อยจากการต่อสัญญาแข้งสำคัญอย่าง อเล็กซานเดอร์ อิซัค
4. แอตเลติโก มาดริด
ต้องยอมรับว่า แอตเลติโก มาดริด เป็นทีมที่ทำผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอโดยพวกเขาเป็นขาประจำแชมเปี้ยนส์ ลีก และยึดตำแหน่งท็อปทรีใน ลา ลีกา อย่างเหนียวแน่นภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือดีเอโก้ ซิเมโอเน่
สำหรับนักเตะทัพ "ตราหมี" ที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุดได้แก่ ฮูเลียน อัลวาเรซ, อองตวน กรีซมันน์ และ ยาน โอบัค ซึ่งพวกเขาก็สร้างผลงานได้น่าประทับใจ และถือว่าเม็ดเงินที่สโมสรมอบให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
หากย้อนไปในอดีต แอต.มาดริด คือคู่ปรับตัวฉกาจของ โรนัลโด้ เพราะเขาต้องทำศึกดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงมาดริด งานนี้แฟนบอลโดยเฉพาะ "ติ่ง" โรนัลโด้ คงเชื่อว่า "ซีอาร์ เซเว่น" น่าจะแอบยิ้มสะใจที่รายได้ของเขามากกว่านักเตะทั้งทีมของ "ตราหมี
จากการประเมินระบุว่า แอตเลติโก มาดริด มีรายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยนักเตะทั้งทีมรวมต่อปีประมาณ 137 ล้านยูโร (ราว 5,343 ล้านบาท)
5. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
สเปอร์ส อาจทำผลงานได้ย่ำแย่ในพรีเมียร์ลีกโดยพวกเขาจบอันดับ 17 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายของโซนปลอดภัยเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แต่พวกเขาได้โควตาไปลุย แชมเปี้ยนส์ ลีก จากการคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
สำหรับรายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยรวมของนักเตะทั้งทีมต่อปีประมาณ 123 ยูโร (ราว 4,797 ล้านบาท) ซึ่งน้อยกว่าของ แอสตัน วิลล่า เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอยู่ในระดับที่ถือว่าเหมาะสมและยั่งยืนเมื่อเทียบกับรายได้รวมต่อปีของพวกเขา
กระนั้นในฤดูกาลใหม่ทัพ "ไก่เดือยทอง" มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เพราะทีมปลด แอนจ์ ปอสเตโคกลู และแต่งตั้ง โธมัส แฟร้งค์ เข้ามากุมบังเหียน ด้วยเหตุนี้ทีมอาจจะมีอะไรแปลกใหม่ทั้งเรื่องผลงานในสนาม และรายรับรายจ่ายด้วย
6. นาโปลี
เจ้าของแชมป์ "สคูเด็ตโต้" ฤดูกาลล่าสุดมีรายจ่ายเรื่องค่าเหนื่อยนักเตะตลอดทั้งปีประมาณ 87 ล้านยูโร (ราว 3,393 ล้านบาท) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าสิ่งที่ โรนัลโด้ ได้รับจาก อัล นาสเซอร์ ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
อันโตนิโอ คอนเต้ เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเข้มงวดและความต้องการสูง ดังนั้นเขาคงไม่พลาดที่จะเรียกร้องให้สโมสรลงทุนเพิ่มเติมกับทัพ "อัซซูร่า" เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการป้องกันแชมป์ลีก และลุ้นแชมป์รายการอื่นๆ ในฤดูกาล 2025/2026
พวกเขาเพิ่งคว้าตัว เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ชาวเบลเยียมมาร่วมทีมแบบฟรีเอเจนต์ แม้จะไม่ได้เสียเงินค่าตัว แต่เชื่อว่าค่าเหนื่อยของนักเตะคงไม่ธรรมดาแน่นอน กระนั้นก็อาจจะไม่ได้สูงลิบเหมือนตอนที่เขาได้รับจาก แมนซิตี้
TOMMY TEE.