เจาะลึกผลงาน อาร์เน่อ สล็อต ฤดูกาลแรกกับ ลิเวอร์พูล หลังพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก วิเคราะห์ 5 จุดสำคัญทั้งเกมรับ, ลดเจ็บ, ฟอร์มเยือน, ความเฉียบคม และการคุมเกม
ฤดูกาลแรกของ อาร์เน่อ สล็อต ในการกุมบังเหียน ลิเวอร์พูล เขาสามารถนำทีมผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ทันที ซึ่งถือว่าเกินความคาดหวังอย่างมาก โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนา "หงส์แดง" ที่ทำได้อย่างโดดเด่นมากๆ
หากย้อนไปช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่ากังวลอย่างมากเมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจอำลาถิ่นแอนฟิลด์ ขณะเดียวกันสโมสรได้ดึง โค้ชอาร์เน่อ ที่ค่อนข้างโนเนมในเวลานั้น เข้ามารับงานใหญ่
อย่างไรก็ตามในช่วงปรีซีซั่นแรกของ กุนซือชาวดัตช์ เราได้เห็น 5 แนวทางที่เขาสามารถพัฒนา ลิเวอร์พูล และบอกตามตรงว่าเจ้าตัวทำหน้าที่ดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
งานนี้ลองมาดู 5 แนวทางที่แฟนบอลหงส์แดงคิดว่า โค้ชอาร์เน่อ สามารถปรับปรุงและยกระดับผลงานของ "เดอะ เร้ดส์" ได้ และต้องบอกเลยว่าสิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของทีมเมื่อซีซั่น 2024/2025
1. หยุดการเสียประตูแรกที่มักเกิดขึ้นบ่อย !
ประเด็นหลัก : ลูกทีมของ คล็อปป์ เสียประตูแรกถึง 23 ลูก คิดเป็น 39.6 เปอร์เซ็นต์ของเกมทั้งหมด ในฤดูกาลสุดท้ายที่กุนซือชาวเยอรมันกุมบังเหียน
การเสียประตูแรกเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากๆ ในยุคคล็อปป์ ทำให้มีสิ่งที่ต้องทำมากมายในแต่ละสัปดาห์สำหรับทีมที่ต้องกรำศึกหนักและมีสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าอยู่แล้ว
สำหรับในยุคโค้ชอาร์เน่อ ต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล เสียประตูแรกเพียง 19 ลูกจาก 56 แมตช์ในทุกรายการ คิดเป็น 33.9 เปอร์เซนต์ของเกมทั้งหมด แน่นอนว่ามันพัฒนาขึ้นสำหรับซีซั่นที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม 12 เกมสุดท้าย "หงส์แดง" ฟอร์มหลุดไปเยอะมาก พวกเขาเสียประตูแรกถึง 6 เกม และพลิกเก็บชัยชนะได้เพียง 2 แมตช์เท่านั้น
ต้องยอมรับว่าในยุคโค้ชอาร์เน่อ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลใจมากนัก เพราะทีมเสียประตูแรก 5 ลูกจากการเล่น 20 เกมแรกของซีซั่น
บทสรุป : สำเร็จ
2. ลดจำนวนผู้เล่นบาดเจ็บ
ประเด็นหลัก : มีนักเตะ 22 คนพลาดลงสนามเนื่องจากอาการบาดเจ็บในฤดูกาล 2023/2024 โดยรวมพลาดลงเล่นทั้งสิ้น 362 เกม
สำหรับเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถือว่า โค้ชอาร์เน่อ ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะเขาสามารถลดจำนวนนักเตะที่พลาดการลงสนามได้มากถึง 64.3 เปอร์เซ็นต์
มีนักเตะชุดใหญ่เพียงแค่ 11 รายเท่านั้นที่พลาดลงสนามอย่างน้อย 1 เกมในฤดูกาลล่าสุด รวมแล้วพลาดลงเล่น 129 เกม ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่มีการพลาดลงเล่นถึง 670 เกมในช่วง 2 ซีซั่นก่อนหน้านั้น
หนึ่งในบุคคลที่ควรได้รับเครดิตมากๆ นั่นก็คือ รูเบน ปีเตอร์ส หัวหน้าโค้ชสมรรถภาพทางกายของทีมชุดใหญ่ ที่คอยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และสิ่งนั้นนำไปสู่รางวัลตอบแทนอันล้ำค่าเมื่อจบฤดูกาล
บทสรุป : สำเร็จอย่างสูง
3. เอาชนะความยากลำบากที่ กูดิสัน พาร์ค และโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ประเด็นหลัก : ถ้าหากคาดเดา 2 เกมที่ทีมมักจะทำแต้มหลุดมือใน 1 ซีซั่น ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในเกมเยือน เอฟเวอร์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งมันไม่ควรจะเกิด แต่ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ
การเดินทางไปที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และ กูดิสัน พาร์ค พวกเขาเก็บได้ 4 คะแนนจาก 6 แต้มในฤดูกาลนี้ และถ้าหากไม่เกิดเหตุตีเสมอในวินาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บที่แสนยาวนาน งานนี้ "เดอะ เร้ดส์" คงเก็บแต้มครบเรียบวุธ
แม้ "หงส์แดง" จะไม่ได้โชว์ฟอร์มโดดเด่นเป็นสง่าในการสู้กับเพื่อนบ้านที่แสนน่ารักก็ตาม แต่แมตช์ดังกล่าวทีมสมควรได้รับคำชื่นชมอย่างมาก ขณะที่เกมเยือน "โรงละครแห่งความฝัน" ทีมจัดการทุบคู่อริร่วมชาติย่อยยับ 3-0 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
สำหรับ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อาจจะไม่ใช่สนามที่มีความทรงจำดีๆ มากนัก ไม่ว่าฟอร์มจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตามก่อนที่จะฟาดแข้งกัน แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการไปเยือนที่นั่นมักจะได้ผลการแข่งขันที่ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" อิ่มเอมใจเสมอ
บทสรุป : สำเร็จ
4. เฉียบคมมากยิ่งขึ้น
ประเด็นหลัก : ไม่ใช่ว่า ลิเวอร์พูล จะยิงประตูไม่ค่อยได้ในยุค คล็อปป์ เพราะพวกเขายิงประตูได้มากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 2 ของสโมสรในซีซั่น 2023/2024 แต่ทีมต้องมีความเด็ดขาดมากกว่านี้ในช่วงเวลาสำคัญ
สำหรับในพรีเมียร์ลีก จากการอ้างอิงข้อมูลของ FotMob ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีอัตราเฉลี่ยในการทำประตูต่อเกมสูงที่สุด (2.3), สร้างโอกาสในการประตูที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (83.5), ค่าเฉลี่ยในการยิงเข้ากรอบมากที่สุด (6.1) และ สร้างโอกาสสำคัญในการทำประตูมากสุด (150)
อย่างไรก็ตาม "เดอะ เร้ดส์" ก็พลาดโอกาสสำคัญในการทำประตูหลายครั้งเช่นกัน (92) โดยมาจาก โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ 24 ครั้ง และ ดีโอโก้ โชต้า 14 ครั้ง
ขณะเดียวกัน สาวก "เดอะ ค็อป" ยังคงรู้สึกว่าทีมรักมีพื้นที่ว่างทำให้คู่แข่งสามารถบุกเข้ามาโจมตีได้ ยกตัวอย่างเกมที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง บุกมาสอยพวกเขาที่แอนฟิลด์ ดังนั้นนี่คือจุดที่ โค้ชอาร์เน่อ ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นสำหรับซีซั่น 2025/2026
บทสรุป : ยังต้องพัฒนา
5. การคุมเกมมากขึ้น และลดความเสี่ยง
ประเด็นหลัก : ลิเวอร์พูล มักเป็นทีมที่เล่นเกมรุกบุกแหลก หรือเป็นทีมที่สร้างดราม่าบ่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่มันคงจะดีที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ภายใต้การบริหารจัดการใหม่
ต้องยอมรับว่า "หงส์แดง" มักจะสร้างผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือการพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้หลายครั้งหลายหน แต่ในยุคของ โค้ชอาร์เน่อ มีการเพิ่มเติมการควบคุมเกมเข้าไปในรูปแบบการเล่นของทีม ซึ่งถอดแบบมาจากแนวทางการเล่นที่เน้นความกระตือรือร้นซึ่งเป็นที่คุ้นชินในยุคคล็อปป์
ในเกมพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายขึ้นนำ 32 แมตช์ และสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 25 เกม ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ในลีก แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากความวุ่นวายสู่ความเป็นระบบ การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
แม้จะสร้างค่า xG (ความคาดหวังในการทำประตู) สูงที่สุดในลีก แต่ ลิเวอร์พูล มีค่า xG ในการเสียประตูให้คู่แข่งน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ในลีก (38.7) ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการประเมินความเสี่ยง กับผลตอบแทนที่จะได้
แนวทางการเล่นแบบนี้มีผลต่อบรรยากาศภายในแอนฟิลด์ ก่อนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์ อย่างไรก็ตามวิธีการของ โค้ชอาร์เน่อ สามารถนำทีมบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ
บทสรุป : สำเร็จ
TOMMY TEE.