หลายคนมองว่าการคว้า ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เข้ามา เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวทางของ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป หรือ เอฟเอสจี ที่ก่อนหน้านี้มักถูกวิจารณ์ว่าขี้เหนียว และไม่มีความกล้าเสี่ยงบนตลาดซื้อขายนักเตะ
แต่เปล่าเลย ในความเป็นจริง แนวทางของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไป
สิ่งที่ทำให้พวกเขากล้าใช้เงินได้ในแต่ละครั้งก็คือการเติบโตของรายได้จากผลงานในสนามและนอกสนามในเชิงพาณิชย์ อีกทั้ง ความสามารถในการขายนักเตะให้ได้ราคาดี ซึ่งถือเป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้การซื้อ
ทุกดีลของ ลิเวอร์พูล ถูกประเมินและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนไม่ว่าจะมีมูลค่า 3.5 ล้านปอนด์, 85 ล้านปอนด์ หรืออย่างในครั้งนี้ที่ 116 ล้านปอนด์
แล้วยิ่งเจอธงแดง (Red Flag คือสัญญาณเตือนความเสี่ยง เช่น ปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง, พฤติกรรมไม่มืออาชีพ, สถิติเสี่ยงตกต่ำ) ความเป็นไปได้ในการเซ็นสัญญาก็ยิ่งสูง
เมื่อสองซัมเมอร์ก่อน ลิเวอร์พูล เคยตกลงค่าตัวกับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ได้แล้วสำหรับ มอยเซส ไกเซโด้ ด้วยมูลค่า 111 ล้านปอนด์ ซึ่งจะเป็นสถิติใหม่ของ อังกฤษ ในเวลานั้น โดย เอฟเอสจี ได้รับสัญญาณเชิงบวกว่าแข้งทีมชาติเอกวาดอร์รายนี้ต้องการย้ายมาร่วมถิ่นแอนฟิลด์ ทว่าท้ายสุด เขาเลือกไปอยู่ เชลซี แทนด้วยค่าตัว 115 ล้านปอนด์
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังพลาดคว้าตัว โรเมโอ ลาเวีย มิดฟิลด์ดาวรุ่ง เซาแธมป์ตัน ในตลาดเดียวกัน และลงเอยด้วยการเซ็นสัญญากับ วาตารุ เอ็นโดะ วัย 30 ปี จาก สตุ๊ทการ์ต ด้วยราคาเพียง 16 ล้านปอนด์แทน
ถึงกระนั้น ลิเวอร์พูล ก็ยังใช้เงินไปถึง 145 ล้านปอนด์บนแผงมิดฟิลด์ในปี 2023 (โดยได้รับเงินคืน 52 ล้านปอนด์จากการขาย ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน) และหากพวกเขาได้ ไกเซโด้ จริง ตัวเลขนั้นก็จะสูงกว่านี้มากอย่างไม่ต้องสงสัย
ตลอดสองตลาดนักเตะที่ผ่านมา การเสริมทัพเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของเฮดโค้ชอาร์เน่อ มีเพียง เฟเดริโก้ เคียซ่า จาก ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 10 ล้านปอนด์ และการบรรลุข้อตกลงล่วงหน้ากับ จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ ผู้รักษาประตูจาก บาเลนเซีย ที่จะย้ายมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้
เอฟเอสจี, ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ (ซีอีโอฟุตบอล), ริชาร์ด ฮิวจ์ส (ผู้อำนวยการกีฬา) และ อาร์เน่อ ต่างเห็นพ้องกันเมื่อซัมเมอร์ปีก่อนว่า ควรรออย่างอดทน เพราะเป้าหมายเบอร์หนึ่งอย่าง มาร์ติน ซูบีเมนดี้ เลือกอยู่ เรอัล โซเซียดาด ต่อไป และพวกเขาก็ไม่พบตัวเลือกอื่นที่เหมาะสม
หลักการสูงสุดของ เอฟเอสจี ที่ว่า "คุณใช้เงินก้อนเดิมสองครั้งไม่ได้" (You can’t spend it twice) คือแนวทางที่ยึดถือมาตลอด โดยเน้นการตัดสินใจอย่างสุขุม รอบคอบ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล มากกว่าความรู้สึกหรือแรงกดดันจากภายนอก ทั้งเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลหรือสื่อที่ต้องการให้มีความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายอยู่เสมอ
แต่เมื่อโอกาสพิเศษบนตลาดนักเตะปรากฏขึ้น เอฟเอสจี ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกเขาพร้อมจะทุ่มเงินมหาศาล และ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ คือหนึ่งในดีลระดับพิเศษแบบนั้น
การที่ ลิเวอร์พูล เลือกไม่ทุ่มเงินเสริมทัพเมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ให้ผลดีในเวลาต่อมา เพราะมันทำให้พวกเขามีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวในตลาดนักเตะปีนี้ได้มากขึ้น โดย ฮิวจ์ส และ อาร์เน่อ สามารถวางรากฐานใหม่ให้กับทีมชุดที่พวกเขาสืบทอดมาได้ตามแนวทางของตนเอง
ขณะเดียวกัน รายได้ก้อนใหญ่จาก แชมเปี้ยนส์ลีก รูปแบบใหม่ และเงินรางวัลจากการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ก็ช่วยเสริมสถานะทางการเงินของสโมสรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
จนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล สร้างรายได้สูงถึง 26.4 ล้านปอนด์ จากการขาย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ ควิวีน เคลเลเฮอร์ และตัวเลขนั้นยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างมาก หากการปล่อยผู้เล่นรายอื่น ๆ เสร็จสิ้นภายในเส้นตายตลาดนักเตะวันที่ 1 กันยายน
สำหรับดีล เวียร์ตซ์ นั้น ลิเวอร์พูล จะทยอยจ่ายค่าตัวเป็นงวด ๆ หลายปี และพวกเขาเองก็มีความพยายามที่จะไม่ให้ดีลนี้ถูกมองว่าเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดในเกาะอังกฤษ เพราะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเงื่อนไขโบนัส 16 ล้านปอนด์ที่ระบุไว้ถูกปลดทั้งหมด
นี่คือการลงทุนก้อนใหญ่เพื่อแลกกับพรสวรรค์ระดับสุดยอด
และเป็นการเลือกซื้อของที่ดีที่สุด ขณะที่ตัวเองกำลังอยู่บนสถานะที่แข็งแกร่ง
-HOSSALONSO-