กว่าจะมาเจอกันต้องใช้เวลาถึง 15 ปี

กว่าจะมาเจอกันต้องใช้เวลาถึง 15 ปี
ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตที่ อังกฤษ ครั้งแรกของ เจเรมี่ ฟริมปง ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่

เขาย้ายมายังที่นี่ตอนอายุ 6 ขวบ พักอยู่ในบ้านสวัสดิการของรัฐกับพี่น้องอีก 6 คนและ เบร์นิซ คุณแม่ที่เพิ่งแยกทางกับ เจฟฟรี่ คุณพ่อ แถวย่านมอสตัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองแมนเชสเตอร์ โดย เจเรมี่ เป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 7 คน

ความห่างไกลจาก อัมสเตอร์ดัม ที่ตัวเองเติบโตขึ้นมา เขาต้องคอยยืมรองเท้าสตั๊ดและติดรถคนอื่นเพื่อไปเล่นกับ เคลย์ตัน สโมสรท้องถิ่น ซึ่งการเตะฟุตบอล เจเรมี่ ได้แรงบันดาลใจจากพี่ชายของตัวเองที่คอยผลักดันมาตลอด

แม้ตอนนั้น ลิเวอร์พูล เคยให้ความสนใจอยากเรียก เจเรมี่ ฟริมปง ไปทดสอบฝีเท้า แต่ด้วยปัญหาเรื่องการเดินทางทำให้เรื่องนั้นไม่เกิดขึ้น

แล้วเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้ตัว ฟริมปง ไปร่วมทีม ซึ่งแมวมองของพวกเขาไปค้นพบตั้งแต่ตอน 9 ขวบสมัยที่เล่นตำแหน่งกองหน้าจอมทำสกอร์

และเมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี ในที่สุด ฟริมปง ก็ย้ายมาที่ อังกฤษ อีกครั้ง หลัง ลิเวอร์พูล ตัดสินใจจ่ายค่าฉีกสัญญา 35 ล้านยูโร 

ที่ผ่านมา ฟริมปง มีเป้าหมายที่จะกลับมาเล่นที่นี่มาตลอด 

ครั้งนี้เขากลับมาในฐานะนักเตะระดับท็อป มีดีกรีแชมป์ลีกจากสองประเทศ(สกอตแลนด์, เยอรมนี) ติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ชุดใหญ่ 

คำถามคือ ทำไม ฟริมปง ถึงเป็นหนึ่งในนักเตะที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในทวีปยุโรป แล้ว ลิเวอร์พูล จะได้อะไรจากตัวเขาคนนี้

..................................

จุดเริ่มต้นของ ฟริมปง ก็เหมือนเด็กที่คลั่งไคล้ฟุตบอลทั่วไป 

ทุกเช้าวันเสาร์ เขาลงเล่นให้ทีมเคลย์ตัน และไปเล่นกับ เคลย์ตัน วิลล่า ตอนช่วงบ่าย เขาทำประตูได้ต่อเนื่องกับทั้งสองทีม และแสดงให้เห็นถึงความเร็วปานสายฟ้าได้อย่างน่าทึ่ง

"เขาลากผ่านผู้เล่นเหมือนพวกนั้นไม่มีตัวตนเลย" โค้ช พอล สเนดดอน เคยเล่าให้ The Athletic ฟังในปี 2020 โดยเสริมว่าเรื่องตลกในหมู่ผู้ปกครองและคนดูตอนนั้นก็คือ เขาน่ะ -เร็วเกินร่างกายของตัวเอง- จนบางครั้งล้มลงกับพื้นเพราะเสียการทรงตัว

"ผมคิดว่าเขายิงได้ 50 ประตูในฤดูกาลที่สองกับเรา แต่เขาน่าจะยิงได้ 100 ถ้าไม่ล้มบ่อยขนาดนั้น" สเนดดอน กล่าว 

"แต่มันชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าเขามีพรสวรรค์ที่จะก้าวไปไกลกว่านี้แน่นอน"

ตอนที่ย้ายไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือจุดเปลี่ยนสำคัญ 

เรื่องระยะทางมันทำให้เขาไม่ได้ไปอยู่ ลิเวอร์พูล, โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส หรือกระทั่ง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 

ขณะที่คุณแม่ของเขาต้องทำงานในฐานะแม่บ้านทำความสะอาดสองที่ เธอเองยอมขึ้นรถเมล์ถึงสามต่อ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะไปถึงศูนย์ฝึก แมนซิตี้ ได้ตรงเวลา

ช่วงแรก ๆ มีข้อสงสัยว่า ฟริมปง จะไปถึงระดับสูงสุดของอาชีพนักฟุตบอลได้หรือไม่ 

ถึงแม้จะเล่นเป็นมิดฟิลด์ฝั่งขวาที่ไม่ค่อยได้ใช้ร่างกายหนักในการปะทะ แต่หลายคนตั้งคำถามว่าเขาตัวเล็กเกินไป กระทั่งผลงานที่ฉายออกมากลับทำให้ ฟริมปง ไม่อาจถูกมองข้ามได้จนถูกตั้งฉายาจากนักเตะซีเนียร์บางคนของ "เรือใบสีฟ้า" ว่า "Speedy Gonzales" (ตัวการ์ตูนหนูที่วิ่งเร็ว)

ช่วงเวลานั้น แอร่อน พี่ชายอีกคนหนึ่งมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก เขาคอยช่วงพาน้องชายไปสนามหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ แทนที่คุณพ่อกับคุณแม่ ซึ่งติดภารกิจทำงาน

ฟริมปง ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วบนระบบเยาวชนของ ซิตี้ คว้าแชมป์รุ่นยู-18 และมีชื่อติดทีมศึก เอฟเอ ยูธ คัพ นัดชิงชนะเลิศปี 2017 และ 2019

"เขายอดเยี่ยมมาก และน่าจะเป็นนักเตะที่เร็วที่สุดที่ผมเคยโค้ชมา"

"เขาเล่นได้หลายตำแหน่ง และถ้าเกิดเขาอยู่ผิดตำแหน่ง ความเร็วก็ช่วยให้เขากลับมาคุมพื้นที่ได้ทัน แล้วเวลาเติมเกมบุกขึ้นหน้าก็อันตรายสุด ๆ" พอล ฮาร์สลี่ย์ ที่เคยเป็นโค้ชชุดยู-23 แมนซิตี้ เล่าให้ฟัง

ปลายปี 2018 สมาคมฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ ส่ง มาร์เท่น สเตเคเลนเบิร์ก อดีตนายด่านชื่อดังมาดูฟอร์มของนักเตะดัตช์ที่อยู่ในทีมยู-23 ของ แมนซิตี้ 

เขาตั้งใจเดินทางมาดูฟอร์มสองดาวรุ่งอย่าง ร็อดนี่ย์ คองโกโล่ และ จาไวโร่ ดิลโรซุน ทว่า เจสัน วิลค็อกซ์ ผอ.อคาเดมี่ ซิตี้ ในเวลานั้นได้แนะว่า ฟริมปง ก็มีสิทธิ์เล่นให้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เช่นกัน และควรได้รับพิจารณาเหมือนสองแข้งดังกล่าว

"ตอนนั้นระบบดาต้าเบสของทีมแมวมองยังไม่สมบูรณ์ เราเลยไม่รู้ว่าเขามีทั้งพาสปอร์ต กานา และ เนเธอร์แลนด์" สเตเคเลนเบิร์ก กล่าว

"แต่ทันทีที่เห็นเขา ผมก็รู้สึกสนใจในตัวเขาเลย ผมชอบบุคลิกและพลังของเขา เขาเป็นเด็กที่เป็นมิตรและเปิดใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่โค้ชชอบมาก เขาเร็วมาก แม้ตอนแรกจะยังไม่ค่อยนิ่งนัก แต่ก็เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่ควรมีไว้ในทีม" 

แม้ ฟริมปง จะมีพรสวรรค์ชัดเจน แต่ในตำแหน่งแบ็กขวา เขายังต้องตามหลังนักเตะอย่าง ลุตชาเรล กีร์ตรุยด้า และ ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ ตามลำดับทีมชาติเนเธอร์แลนด์รุ่นยู-19

ขณะเดียวกันในรุ่นอายุเดียวกันนั้น ตำแหน่งปีกขวาที่ ฟริมปง อาจเบียดไปเล่นได้ ก็มี โมฮาเหม็ด อิฮัตราเรน จับจองอยู่แล้ว ทำให้โอกาสของเขาถูกจำกัดลงไปอีก

นอกจากนี้ อีกหนึ่งอุปสรรคคือ เขาพูดภาษาดัตช์ไม่ได้เลย โค้ชต้องใช้เวลาเพิ่มในการอธิบายแท็กติก และต้องอาศัยเพื่อนร่วมทีมช่วยแปลคำสั่งเป็นภาษาอังกฤษ ให้

"นักเตะหลายคนเริ่มเล่นกับทีมชาติมาตั้งแต่อายุน้อย แม้เราจะมีทีมที่ดี แต่ถ้าคุณจะอยู่รอดได้ก็ต้องเป็นคนที่มีบุคลิกที่ดี" สเตเคเลนเบิร์ก เสริม

"แต่ เจเรมี่ ไม่เคยถูกกลืนหายไปในกลุ่มเลย เขาไม่ใช่คนขี้อาย และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ง่ายมาก"

...........

ศรัทธาในคริสตศาสนาของ ฟริมปง ช่วยทำให้เขาสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมที่มีความเชื่อคล้ายกันได้อย่างรวดเร็ว

ช่วงเวลาที่ยากลำบากตอนวัยเด็ก โบสถ์ เป็นที่พึ่งสำคัญสำหรับเขาและครอบครัว มันคือที่หลบภัยจากปัญหาในชีวิตประจำวัน และแม้ว่าเวลาผ่านไปจะเต็มไปด้วยความสำเร็จ แต่เขาก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นเลย

แม้จะรู้สึกว่าโชคดีที่ได้รับโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของ อะคาเดมี่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฟริมปง เองก็ยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลายรายที่ไม่เคยได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่นาทีเดียว 

โดยใกล้เคียงที่สุดที่เขาได้สัมผัสฟุตบอลอาชีพคือการลงเล่นไม่กี่นัดในรายการ อีเอฟแอล โทรฟี่ กับทีมซิตี้ ยู-21

เส้นทางฟุตบอลอาชีพของเขาจริง ๆ เริ่มต้นที่ สกอตแลนด์ โดย เซลติก ได้รับรู้ถึงโอกาสในการคว้าตัว เมื่อ นิค แฮมมอนด์ ที่ปรึกษาด้านการสรรหานักเตะ แล้วต่อมารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายฟุตบอลที่ดูแลการย้ายทีมทั้งหมด เขาได้พูดคุยกับ แอนดี้ ธอร์น อดีตกองหลัง วิมเบิลดัน, นิวคาสเซิล และ คริสตัล พาเลซ ซึ่งในขณะนั้นเป็นแมวมองของเซลติก และเป็นผู้สนับสนุนดีลนี้อย่างจริงจัง

เซลติก เคยเจอกับ แมนซิตี้ ในเกมอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น และ นีล เลนน่อน ผู้จัดการทีม เซลติก ตอนนั้น เห็น ฟริมปง แล้วก็ประทับใจทันที

"ผมจำได้ว่า เลนน่อน เดินมาหาผมและถามถึง เจซซ่า (ชื่อเล่นของ ฟริมปง)"

"เขาเล่นได้ดีตามสไตล์ของเขา และเหมือนกับนักเตะอีกหลายคนที่เคยได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่มาบ้าง การย้ายไป เซลติก ในตอนนั้นถือว่าเหมาะสมมากและช่วยให้เขาก้าวกระโดดจริง ๆ" พอล ฮาร์สลีย์ กล่าว

เดือนกันยายน ปี 2019 ฟริมปง เซ็นสัญญาระยะเวลา 4 ปีกับ เซลติก เจ้าหน้าที่สโมสรยังคงจำได้ดีถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของเขา ขณะที่เงยหน้ามองสนามของทีมด้วยความตื้นตันและดีใจ

กลยุทธ์ของ เซลติก ในการเซ็นสัญญากับนักเตะเยาวชนจากอคาเดมีชื่อดังในอังกฤษถือเป็นความเสี่ยง แต่ ฟริมปง กลายเป็นตัวอย่างความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุด เขาถูกคาดหวังให้เป็นเพียงตัวเสริมในฤดูกาลแรก ทว่ากลับกลายเป็นกำลังหลัก ช่วยให้ เซลติก คว้า ทริปเปิลแชมป์ในประเทศได้สำเร็จ

ในระยะเวลา 18 เดือน เขาทำ 8 แอสซิสต์และยิงได้ 3 ประตู จริงอยู่ว่ามันไม่ได้หวือหวา แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือลักษณะนิสัยและผลงานในสนามซ้อมที่ทำให้เขาได้รับความเคารพจากบรรดานักเตะอาวุโส โดยเฉพาะกัปตันทีมอย่าง สก็อตต์ บราวน์

ฟริมปง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความเร็วและสปีดในจังหวะวิ่งกลับมาป้องกันจะเป็นจุดแข็งสำคัญในการเป็นแบ็กขวาสารพัดประโยชน์ 

เขาเรียนรู้ที่จะเล่นเกมรุกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการลดความพยายามเล่นที่ไม่จำเป็น และตั้งใจฟังคำแนะนำเพื่อพัฒนาตัวเอง

แม้บางคนที่ เซลติก จะมองว่าเขายังเด็กและขาดความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง แต่ความจริงใจและความเป็นมิตรทำให้เขาได้รับความชื่นชอบจากผู้คนรอบตัว และเขาก็ไม่มีปัญหาใด ๆ ในการปรับตัวเข้ากับกลุ่มใหม่

กลางฤดูกาลที่สองของเขา มันก็ชัดเจนแล้วว่า ฟริมปง ไม่น่าจะขยายสัญญาอยู่ใน สกอตแลนด์ ต่อไป ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แสดงความสนใจอย่างจริงจังและคว้าตัวไปร่วมทีมตอนตลาดซื้อขายเดือนมกราคม ปี 2021 ด้วยค่าตัว 11.5 ล้านปอนด์ ซึ่งนับเป็นกำไรอย่างงามจากค่าตัวเพียง 350,000 ปอนด์ ที่ เซลติก จ่ายให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

แม้ตัวเลขนี้จะสร้างกำไร แต่ก็ยังมีบางเสียงภายใน เซลติก ที่รู้สึกว่า มันยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อพิจารณาจากศักยภาพที่ ฟริมปง มีในการพัฒนาต่อในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เซลติก เองก็จะได้ส่วนแบ่งสูงสุดถึง 6 ล้านปอนด์จากการที่ ฟริมปง มาอยู่ ลิเวอร์พูล เนื่องจากพวกเขาใส่เงื่อนไขส่วนแบ่งกำไรไว้ในสัญญาตอนขายให้แก่ เลเวอร์คูเซ่น

.........

เลเวอร์คูเซ่น วางแผนอนาคตให้ ฟริมปง อย่างชัดเจน

พวกเขาบอกว่าผลงานบนเวที บุนเดสลีกา จะเป็นบันไดที่จะทำให้ ฟริมปง สามารถเป็นผู้เล่นทีมชาติได้ 

"ห้างขายยา" มุ่งมั่นสร้างทีมที่มีนักเตะอายุน้อย ๆ และกระหายความสำเร็จ เพื่อให้สโมสรได้กลับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง 

แม้ว่าครึ่งฤดูกาลแรก ฟริมปง ได้ลงเล่นในลีกเพียง 10 นัด แต่ เลเวอร์คูเซ่น ก็จบอันดับ 3 คว้าตั๋วกลับสู่เวทียุโรปได้สำเร็จ

สองปีต่อมา ภายใต้การคุมทีมของ ชาบี อลอนโซ่ ผู้ที่ ฟริมปง กล่าวว่า "เขาทราบดีว่าจะใช้ความสามารถของผมแบบไหน"

จากนั้น ฟริมปง ก็กลายเป็นกำลังหลักของทีมชุดคว้าแชมป์ลีก และเป็นหนึ่งในแบ็กขวาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในยุโรป ด้วยผลงาน 14 ประตู และ 12 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 47 นัดทุกรายการ

จากที่เคยเป็นเพียงดาวรุ่งหน้าใหม่ ฟริมปง ได้กลายเป็นตัวหลักทั้งในและนอกสนาม 

เขามักเปิดบ้านต้อนรับเพื่อนร่วมทีม และจัดกิจกรรมสังสรรค์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง มันคือผลตอบแทนจากความพยายามและการเสียสละที่เขาลงทุนมาตลอดหลายปี

การพา เลเวอร์คูเซ่น ยุติการครองบัลลังก์ 11 ปีของ บาเยิร์น มิวนิก และทำภารกิจได้สำเร็จด้วยการยิงประตูสำคัญในช่วงทดเวลาบาดเจ็บหลายครั้ง ทำให้ความสำเร็จครั้งนี้ยิ่งทวีความหมาย 

การได้สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์บุนเดสลีกาครั้งแรกในรอบ 120 ปีของสโมสร และลบคำสบประมาท "Neverkusen" ได้ทำให้เขาหวนคิดถึงช่วงวัยเยาว์

ย้อนกลับไปตอนที่ ฟริมปง เพิ่งย้ายไป แมนฯ ซิตี้ คุณแม่ของเขาเคยปลอบใจลูกชายด้วยการซื้อไก่กับเฟรนช์ฟรายด์กลับบ้านหลังการซ้อม เพื่อให้การนั่งรถบัส 3 ต่อกลับบ้านมันดูไม่ลำบาก 

ความไม่มั่นใจนั้นกลับมาอีกครั้งเมื่อเขาย้ายไป เซลติก เขาเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า การทิ้งบ้านที่ แมนเชสเตอร์ เพื่อย้ายไปต่างแดนมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่ และเมื่อเขาเริ่มตั้งหลักใน สกอตแลนด์ ได้แล้ว เขาก็ก้าวออกจากเซฟโซนอีกครั้งด้วยการย้ายไปประเทศใหม่ และผลักดันตัวเองอีกขั้น

นี่คือแบบอย่างที่สะท้อนถึง ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะเสี่ยง ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งในเส้นทางของเขา ฟริมปง ได้เรียนรู้จากระบบที่แตกต่าง และเข้าใจว่าการเติบโตสู่จุดสูงสุดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และในวันนี้ เขากำลังเก็บเกี่ยวผลแห่งความพากเพียรเหล่านั้น

แม้ตอนนี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว แต่หลายคนยังเชื่อว่า สิ่งที่ดีที่สุดของเขายังมาไม่ถึงทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ 

ฟริมปง เคยมีชื่อเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาตาร์ แต่เขาก็ไม่ได้ลงเล่นเลย 

ปีก่อนในศึกยูโร 2024 เขาไม่ได้มีโอกาสลงเล่นเช่นกัน แต่สามารถทำผลงานโดดเด่นในศึก เนชั่นส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่พ่ายต่อ สเปน ช่วงการดวลจุดโทษ โดยทั้งสองเลกกับ "กระทิงดุ" เขาลงเล่น ครบทุกนาที ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ฟริมปง กำลังกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของทีม

"ผมเรียนรู้มาตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าอย่าเพิ่งไปปักป้ายนักเตะตอนพวกเขายังเด็ก เพราะคุณสมบัติที่สำคัญจริง ๆ คือ บุคลิกภาพที่ดีและความมุ่งมั่นในการทำงานหนัก"

"เจเรมี่ มีทั้งสองอย่าง และตอนนี้เขายังมีข้อได้เปรียบอีกอย่างคือ เขากำลังจะได้เล่นให้โค้ชที่เหมาะกับสไตล์ของเขาอย่างมาก อาร์เน่อ จะรู้ดีว่าเขามีปีกขวาอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อยู่ข้างหน้า ซึ่งชอบตัดเข้าใน นั่นจะเปิดพื้นที่ให้ เจเรมี่เติมขึ้นไปด้านนอกได้อย่างอิสระ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มหาศาลกับเขา” สเตเคเลนเบิร์ก อดีตผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติเนเธอร์แลนด์ (ปี 2019–2021) กล่าว

ฟริมปง ย้ำอยู่เสมออย่างชัดเจนว่า เขาคือแบ็กขวาที่เล่นได้ทั้งรับและรุก 

เขาทำงานร่วมกับโค้ชส่วนตัวนอกสนามเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะด้านในเรื่องของตำแหน่งการยืนเกมรับ และการวิเคราะห์แท็กติกอย่างละเอียด 

นอกจากนี้ ฟริมปง ยังได้รับการดูแลจากโค้ชเกมรุกเพื่อรีดศักยภาพสูงสุดของตนเอง และเร็ว ๆ นี้ เขาจะได้ร่วมงานกับเฮดโค้ชอาร์เน่อ 

นอกสนาม เขายังจะนำความมีชีวิตชีวามาสู่ทีม ด้วยความหลงใหลใน ดนตรี แฟชั่น อนิเมะ และงานการกุศล ซึ่งน่าจะถูกใจทั้งแฟนบอล ลิเวอร์พูล และพันธมิตรเชิงพาณิชย์สโมสร

แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้ามาแทนที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่ผู้คนที่รู้จัก ฟริมปง เชื่อว่า...

แอนฟิลด์ คือสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเขา

#HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : -
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport