แชมป์ เอฟเอ คัพ ใบนี้มีความหมายต่อ คริสตัล พาเลซ อย่างไร?

 แชมป์ เอฟเอ คัพ ใบนี้มีความหมายต่อ คริสตัล พาเลซ อย่างไร?
"ทุกอย่าง" คือคำตอบของคำถามที่ว่า "แชมป์ เอฟเอ คัพ ใบนี้มีความหมายต่อ คริสตัล พาเลซ อย่างไร?"

ความเจ็บปวดจากนัดชิงฯ ปี 2016 ที่ มาร์ค แคล็ตเทนเบิร์ก ไม่เป่าให้เล่นต่อเนื่องตอนที่ คอเนอร์ วิคแฮม ทำประตู หรือท่าดีใจของ อลัน พาร์ดิว หลัง เจสัน พันเชียน ยิงสกอร์ออกนำที่สุดท้ายวกกลับเข้าตัวเอง

ความหลังเหล่านั้นทำให้ความสำเร็จอันหอมหวานในค่ำคืนวันเสาร์ที่ เวมบลี่ย์ มันมีความหมายยิ่งกว่าเดิม

นี่คือถ้วยรางวัลสำคัญใบแรกในประวัติศาสตร์สโมสร พวกเขาจะได้ออกผจญภัยบนเวทียุโรป หลังจากเคยพลาดโอกาสเมื่อปี 1991 ที่จบอันดับ 3 ดิวิชั่น 1 แต่โควตา ยูฟ่า คัพ มีเพียงใบเดียว ซึ่งตกเป็นของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รองแชมป์

หลังจากเคยเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการถึงสามครั้ง และเกือบถูกยุบทีมในปี 2010 แต่รอดมาได้เพราะแฟนบอลสี่คนช่วยกอบกู้เอาไว้ รวมถึงกองเชียร์จำนวน 5,000 คนที่เดินทางไปยังสนามฮิลส์โบโร่ในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2009-10 ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาทางการเงินและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของสโมสร

ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้การเดินทางและความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าเดิม และนี่คือช่วงเวลาแห่งความปลื้มปิติที่พวกเขาจะจดจำไปตลอดชีวิต 

ทีมชุดนี้จะถูกจารึกว่าเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา

ความสำเร็จนี้อาจพอช่วยให้พวกเขารั้งตัวผู้จัดการทีม ซึ่งกำลังเนื้อหอมสุด ๆ ไว้ได้ รวมถึงรั้งนักเตะคนสำคัญ และยังอาจดึงดูดดาวรุ่งพรสวรรค์สูงจากที่อื่นให้มาร่วมทีมได้ด้วย

ที่ผ่านมา พาเลซ มีช่วงเวลาเฉียดใกล้ความสำเร็จหลายครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาทำได้แล้ว 

พวกเขากล้าที่จะฝัน กล้าที่จะเชื่อ และสุดท้ายก็ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้

...

ประตูขึ้นนำของ พาเลซ เกิดจากเกมโต้กลับสุดเฉียบคมแล้วจบด้วยปลายสตั๊ดของ เอเบริชี่ เอเซ่

การเข้าทำแบบนั้น คือลายเซ็นทั้งหมดที่ทำให้ทีมของ กลาสเนอร์ เป็นทีมที่เล่นสวนกลับได้อันตรายที่สุดทีมหนึ่ง

15 นาทีแรก แมนซิตี้ ครองเกมแบบเบ็ดเสร็จ ครองบอลถึง 88% และบีบให้ พาเลซ ถอยลงต่ำเกือบทั้งทีม 

อย่างไรก็ตาม พาเลซ ของ กลาสเนอร์ นั้นเชี่ยวชาญในการรับมือกับความกดดันอยู่แล้ว และรอจังหวะสวนกลับอย่างใจเย็น 

พวกเขาผ่านรอบก่อนรองชนะเลิศและรอบตัดเชือกด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งที่ครองบอลเพียงแค่ 30% เท่านั้น

และแล้วโอกาสก็มาถึง พาเลซ ใช้การต่อบอลเพียง 9 จังหวะในเวลา 13 วินาที เจาะแนวรับของ ซิตี้ จากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่ง

เริ่มจากบริเวณมุมสนาม เมื่อ คริส ริชาร์ดส์ เตะเปิดบอลยาวขึ้นมาที่แดนกลาง ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า ใช้ร่างกายบังบอลเอาชนะ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล แล้วพักบอลด้วยอกคืนหลังให้ ไดจิ คามาดะ ซึ่งเป็นนักเตะญี่ปุ่น คนแรกที่ได้ลงเล่นในนัดชิง เอฟเอ คัพ

คามาดะ ที่แม้ลื่นล้มขณะจ่ายคืนให้ มาเตต้า ก็ยังแม่นยำพอส่งบอลแบบจังหวะเดียวกลับไปได้สำเร็จ

มาเตต้า เก็บบอลก่อนมองเห็นการเติมขึ้นมาทางขวาของ ดาเนียล มูนญอซ ที่กำลังวิ่งผ่านพื้นที่ว่าง จากนั้น แบ็กโคลอมเบีย กระชากบอลต่อแล้วเปิดเรียดจากมุมกรอบเขตโทษเข้ามาหน้าประตู

แล้ว เอเซ่ วิ่งพุ่งมาซัดด้วยเท้าข้างในแบบไม่จับ ส่งบอลผ่านมือ สเตฟาน ออร์เตก้า ซุกก้นตาข่าย

จังหวะสวนกลับนี้ได้เปิดแผลถึงความเสี่ยงจากการตัดสินใจของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เลือกส่งทีมลงเล่นโดยไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติเลยแม้แต่คนเดียว

เมื่อ มาเตต้า รับบอลได้ตรงกลางสนาม เควิน เดอ บรอยน์ กลับเป็นมิดฟิลด์ที่ยืนต่ำที่สุดของ ซิตี้ และก็ไม่ได้อยู่ใกล้พอจะหยุดการบุกของ พาเลซ ได้เลย

ช่องโหว่นั้นปรากฏชัด แต่ก็ต้องชม พาเลซ ที่เฉียบคมพอที่จะลงโทษได้อย่างเด็ดขาด

HOSSALONSO




ที่มาของภาพ : reuters
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport