อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กับทักษะลับ และความอัจฉริยะที่ถูกมองข้าม

อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กับทักษะลับ และความอัจฉริยะที่ถูกมองข้าม
"สำหรับผม เขาไม่ใช่นักเตะที่ถูกมองข้าม" เฮดโค้ชอาร์เน่อ พูดถึงลูกทีมของเขาในช่วงก่อนเกมที่จะพา ลิเวอร์พูล เจอ เชลซี เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

"เขาเป็นผู้เล่นที่สำคัญมาก มีความฉลาดในเกม เล่นกับบอลได้ลื่นไหล แต่สิ่งที่ทำให้เขาพิเศษยิ่งกว่า คือปกติแล้วนักเตะที่มีความฉลาดในเกมมาก แล้วเล่นกับบอลได้ดี มักจะไม่ดุดันหรือเข้มข้นเรื่องเกมรับเท่าไหร่"

ครับ คนที่เฮดโค้ชดัตช์ เอ่ยถึง คือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่คว้ามาแล้วทั้งแชมป์ฟุตบอลโลก, โคปา อเมริกา และ พรีเมียร์ลีก ได้ในช่วงสองปีครึ่ง

ความจริง บนโลกฟุตบอล ชื่อของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ไม่ได้ถูกยกยอมากสักเท่าไหร่ 

มันอาจเป็นเพราะเขาอยู่ในทีมชาติเดียวกับ ลิโอเนล เมสซี่ และมี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นเพื่อนร่วมทีมในนามสโมสร หรือบางทีเป็นเพราะบุคลิกอันถ่อมตัว รวมถึงรูปร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่มากเมื่อเทียบกับ โดมินิค โซโบซไล และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่โดดเด่นกว่าในเรื่องทางกายภาพ

แต่สำหรับคนเป็นโค้ช ความคิดที่ว่า "แม็คก้า" ไม่ควรได้รับการยกย่องนั้นเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ...

"เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนบนโลกที่ผสมผสานความฉลาดในเกม การเล่นบอลที่ยอดเยี่ยม และความมุ่งมั่นในเกมรับเข้าไว้ด้วยกันได้ ในแผงมิดฟิลด์ของเรา เขามีความดุดันไม่เป็นรองใคร"

ทุกสิ่งที่ อาร์เน่อ บอก คือเหตุผลที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ แทบจะเป็นตัวหลักบนแผงมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ชุดแชมป์ พรีเมียร์ลีก

เขาลงเป็นตัวจริง 30 จาก 35 นัดในลีกฤดูกาลนี้ และได้ลงแทบทุกเกมยกเว้นนัดเดียวที่พบ ฟูแล่ม ตอนเดือนธันวาคมที่เขาติดโทษแบน

เมื่อ แม็ค อัลลิสเตอร์ เล่นได้ดี ลิเวอร์พูล ก็มักเล่นได้ดีตาม เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่ทำผลงานได้สม่ำเสมอที่สุดในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง จนแทบพูดได้ว่า อาร์เน่อ ไม่อาจขาดเขาได้

เกมกับ เชลซี เป็นเพียงครั้งที่สองนับตั้งแต่นัดเจอ ฟูแล่ม ที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ มีชื่อบนม้านั่งสำรอง ซึ่งวันนั้น ลิเวอร์พูล ประสบปัญหาจนแพ้ต่อเจ้าถิ่นไป 1-3

ส่วนอีกครั้งหนึ่ง คือเกมเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน ในช่วงที่ได้พักระหว่างสองเลกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เปแอสเช

วันเจอ "ทีมนักบุญ" ลิเวอร์พูล โดนยิงนำ 1-0 ในครึ่งแรก ตัวจริงสามคนอย่าง กราเฟนแบร์ก, เคอร์ติส โจนส์ และ โซโบซไล เล่นกันไม่ได้ดีเท่าไหร่

แม็ค อัลลิสเตอร์ จึงถูกส่งลงมาตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง และเล่นร่วมกับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ จนฝ่ายหลังได้รับคำชมมากมายจากบทบาทที่ช่วยเปลี่ยนเกมให้ ลิเวอร์พูล กลับมาชนะ 3-1 

แต่แท้จริงแล้ว แม็ค อัลลิสเตอร์ คือคนที่คอยเร่งจังหวะเกมจากแนวลึกแบบเงียบ ๆ จนทำให้ทีมมีสปีดบอลและความกระตือรือร้นมากขึ้น

อย่างที่ อาร์เน่อ บอกไว้ แม็คก้า คือมิดฟิลด์ที่ครบเครื่อง สามารถทำงานหนักในเกมรับ เช่น การวิ่งไล่บอล, ปิดช่อง, แย่งบอลกลับมาให้ทีม และมีเทคนิคที่ดีพอที่จะสร้างสรรค์ คุมจังหวะเกมรุกในตอนครอบครองบอล

ส่วนใหญ่แล้ว การรับบอลของเขามักเกิดขึ้นในแดนคู่แข่ง โดยมี กราเฟนแบร์ก ถอยต่ำลงมาเพื่อรับบอลจากแนวรับ และนั่นเปิดโอกาสให้แข้งอาร์เจนไตน์ เติมขึ้นไปอยู่ตรงพื้นที่ที่สูงขึ้น ด้วยระบบที่เน้นการคอนโทรลของ ลิเวอร์พูล 

แม็คก้า จึงสามารถกำหนดจังหวะเกมจากพื้นที่กลางสนามแดนคู่แข่ง และพยายามเจาะแนวรับได้ดี

สิ่งที่น่าสนใจคือ พื้นที่ที่เขาสัมผัสบอลมากที่สุดกลับกลายเป็นฝั่งริมเส้นด้านซ้าย ซึ่งอาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมหลายต่อหลายจังหวะการเล่นของเขาจึงมักถูกมองข้าม

ด้วยแบ็คซ้ายอย่าง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน หรือ คอสตาส ซิมิกาส คอยเติมเกมขึ้นมาทับซ้อน และมีผู้เล่นริมเส้นอย่าง โคดี้ กัคโป หรือ หลุยส์ ดิอาซ ที่มักตัดเข้าในจากริมเส้นฝั่งซ้าย แม็ค อัลลิสเตอร์ จึงทำหน้าที่เหมือนเป็นคนคอยเชื่อมพื้นที่ฝั่งซ้ายเข้าด้วยกัน และพยายามถอยออกจากจุดที่ผู้เล่นแออัด เพื่อหาพื้นที่ว่างและควบคุมเกมจากบริเวณที่โล่งกว่า

อย่างไรก็ตาม มีทักษะพิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งในพรีเมียร์ลีก นั่นคือ -การเป็นจุดเริ่มต้นของจังหวะทำประตู- (Goal-Ending Sequence Starts)

ในบริบทฟุตบอล -การเป็นจุดเริ่มต้นของจังหวะทำประตู- หมายถึงจังหวะเริ่มต้นของการต่อบอลที่ลงเอยด้วยการเป็นประตู กล่าวคือ ผู้เล่นที่มีส่วนในการเริ่มต้นการเคลื่อนที่ของทีมต่อเนื่องไปจนถึงการทำสกอร์สำเร็จ

พูดง่าย ๆ คือ แม็คก้า มักเป็นจุดเริ่มต้นของการทำประตูของ ลิเวอร์พูล แม้เขาอาจไม่ได้เป็นคนแอสซิสต์หรือยิงเอง แต่เขาคือคนเริ่มจังหวะนั้น ๆ

แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำสิ่งนี้ได้ถึง 13 ครั้งบนเวที พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ มากกว่าผู้เล่นคนอื่นเกือบสองเท่า นั่นทำให้เขาเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเกมรุกที่ทรงประสิทธิภาพของ ลิเวอร์พูล

หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของฤดูกาลคือวันที่เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 5-1 

เกมนั้นผลงานของ แม็ค อัลลิสเตอร์ โดดเด่นที่สุดในสนาม 

เขายิงไกลด้วยซ้ายจากระยะประมาณ 20 หลา ให้ ลิเวอร์พูล แซงนำ 2-1 และที่สำคัญ เขามีส่วนเริ่มต้น 2 จังหวะที่จบลงด้วยการเป็นประตู

ประตูแรกของ ลิเวอร์พูล จาก หลุยส์ ดิอาซ แม็ค อัลลิสเตอร์ ใช้ร่างกายบังและคอนโทรลบอลในแดนกลางได้อย่างฉลาด ก่อนจะเริ่มต้นเกมรุก

จังหวะนี้ต่อเนื่องกัน 7 ครั้ง จน โซโบซไล ถวายพานให้ ดิอาซ ยิงเข้าไป

และประตูที่ 4 เขาแย่งบอลจาก เดยัน คูลูเซฟสกี้ บริเวณกรอบเขตโทษตัวเอง แล้วจ่ายสั้นให้ โซโบซไล

แล้วจากนั้น มิดฟิลด์ฮังกาเรี่ยน ก็ลากบอลจากฝั่งตัวเองไปจนถึงหน้าประตูอีกฝั่ง ส่งให้ ซาลาห์ ยิงเสียบมุม ทำให้สกอร์เป็น 4-1 

แม้ดูเหมือนเป็นบทบาทเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับคนที่แอสซิสต์หรือยิงเอง แต่หาก แม็ค อัลลิสเตอร์ ไม่แย่งบอลหรือควบคุมจังหวะได้แต่ต้น การบุกเหล่านั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้

...

สิ่งที่ อาร์เน่อ ชื่นชมอยู่เสมอคือความมุ่งมั่นและดุดันของ แม็ค อัลลิสเตอร์ โดยเฉพาะตอนไม่มีบอล

แม้เขาจะโดดเด่นเรื่องการครองบอลและการใช้เทคนิค แต่สถิติเกมรับของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

มีเพียง อิดริสซา เกย์ (เอฟเวอร์ตัน) 124 ครั้ง, เชา โกเมส (วูล์ฟส์) 105 ครั้ง และ มอยเซส ไกเซโด้ (เชลซี) 103 ครั้ง เท่านั้นที่มีเข้าสกัดบอลสำเร็จมากกว่าเขา (95 ครั้ง)

เกมพบ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนเดือนกันยายน ถ้าเขาไม่เพรสใส่ ค็อบบี้ เมนู สำเร็จ ซาลาห์ ก็คงไม่ได้ยิงประตูที่สาม

เกมชนะ เวสต์แฮม 5-0 เมื่อหลังวันคริสต์มาส เขาแย่งบอลจาก คาร์ลอส โซแลร์ แล้วจ่ายให้ เคอร์ติส โจนส์ แอสซิสต์ให้ ซาลาห์

สองจังหวะข้างต้นเป็นตัวอย่างของ แอสซิสต์รอง (secondary assist หรือ pre-assist) หรือการจ่ายให้คนที่จ่ายให้คนยิงอีกที ซึ่งในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มีเพียง บรูโน่ กีมาไรส์ (นิวคาสเซิ่ล) 9 ครั้ง ที่ทำ pre-assist ได้มากกว่าเขา (7 ครั้ง)

ตัวอย่างอื่น ๆ ในเกมบุกเสมอ นิวคาสเซิ่ล 3-3 เมื่อ 4 ธันวาคม แม็คก้า อ่านเกมขาด ตัดบอลจาก ลูอิส ฮอลล์ ก่อนวางยาวให้ ซาลาห์ จ่ายให้ โจนส์ ยิงตีเสมอ 1-1

ในแง่สถิติ เขายังรั้งอันดับที่ 14 ในหมู่มิดฟิลด์ พรีเมียร์ลีก ที่แย่งบอลในแดนกลางของสนาม (83 ครั้ง)

อีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญ เกมบุกแพ้ ฟูแล่ม 2-3 เขาก็มีส่วนในประตูที่สอง โดยเริ่มจังหวะก่อน ลิเวอร์พูล จะยิงได้

แม็ค อัลลิสเตอร์ มีส่วนเริ่มต้นจังหวะที่จบด้วยการยิงถึง 48 ครั้งใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ มีเพียง มอยเซส ไกเซโด้ (57 ครั้ง) ที่มากกว่า

เขาสร้างโอกาสรอง (secondary chances created) ได้ถึง 44 ครั้ง มีแค่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส (45 ครั้ง) ที่ทำได้มากกว่า

นอกเหนือจากนี้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ยิงได้ 5 ประตู และแอสซิสต์อีก 5 ครั้งใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ โดยสองลูกในนั้นเริ่มจากความมุ่งมั่นในการเล่นเกมรับ

เกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ เขาดักบอลจาก อับดูลาย ดูกูเร่ ก่อนที่จังหวะต่อเนื่องจะจบที่เขาโหม่งลูกเปิดจาก ซาลาห์ เข้าไป

ต่อมาเกมกับ นิวคาสเซิ่ล แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ตัดบอลจาก ซานโดร โตนาลี่ แล้วพาบอลเอง, ประสานงานกับ ซาลาห์ แล้วยิงให้ทีมหนีเป็น 2-0

ตัวอย่างที่ยกมา แสดงให้เห็นว่า แม็ค อัลลิสเตอร์ คือมิดฟิลด์ที่ครบเครื่อง

แม้เขาจะเคยทำผลงานได้น่าประทับใจในบทบาทเบอร์ 6 สมัยยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่หลังจากพูดคุยกับ อาร์เน่อ ช่วงซัมเมอร์ เขาเผยว่าอยากเล่นคู่กับมิดฟิลด์ตัวรับเพื่อดึงศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด

อาร์เน่อ เองก็ตอบรับ และการขยับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก มาเป็นเบอร์ 6 ก็ทำให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ฉายแววได้เต็มที่ แม้โลกภายนอกอาจไม่ค่อยมีใครเห็นก็ตาม

เรียบเรียงจาก The Athletic

HOSSALONSO


ที่มาของภาพ : getty image
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport