3 แต้มที่วิเศษจากเกมที่หลังพิงเชือกโงนเงนไปมา

เป็น 90 นาทีที่ทั้งแฟนหงส์และแฟนไม่หงส์ได้บริหารกล้ามเนื้อหัวใจกันอย่างเต็มที่

หรือถ้านับจริงๆ ก็คงจะแค่ 45 นาทีหลังเท่านั้นกระมังครับ ที่เดอะค็อปต้องนั่งกัดเล็บดูเกมไปพร้อมบ่นกับตัวเองไป.. ครึ่งแรกไม่เห็นเป็นยังงี้

ฟุตบอลเป็นเกมของสองครึ่งเวลา.. คำพูดนี้ยังคงจริงอยู่เสมอ

เพราะเราไม่รู้ว่าโค้ชแต่ละคนวางแผนการเล่นในแต่ละเกมไว้อย่างไร บางครั้งอาจจะเร่งตั้งแต่ครึ่งแรก บางครั้งก็ดูเชิงไม่รีบร้อน ตั้งรับไว้ก่อนไม่เปิดหน้าแลกเพื่อลดความเสี่ยง

สเปอร์สดูเหมือนจะใช้กลยุทธอย่างนั้น

ผมถาม "โค้ชธง" ธงชัย สุขโกกี ที่มาร่วมรายการ Soccer Party ขยี้บอลสด ทาง Siamsport กับผมและเจ้าเจมส์ ลา ลีกา เมื่อคืนที่ผ่านมาว่าแล้วทำไมสเปอร์สไม่เล่นอย่างนี้ตั้งแต่ครึ่งแรก

คำตอบจากปากโค้ชธงง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ก็ครึ่งแรกลิเวอร์พูลยังมีแรง ไปเล่นแลกตั้งแต่ต้นอาจจะเสี่ยงเกินไป ที่เห็นตามหลังสองประตูอาจจะมากกว่านั้นก็ได้

แน่นอนครับ เราเห็นเกมของสเปอร์สในครึ่งแรกเหมือนกันว่าเล่นไม่ได้เลย เล่นไม่ได้ชนิดที่ไม่เข้าใจว่า อันโตนิโอ คอนเต้ ทำอะไรอยู่ ทำไมนักเตะสเปอร์สถึงทำได้แค่นั้น แต่เมื่อผลลัพธ์ที่ออกมาพวกเขาตามหลังสองประตูและลงเอยด้วยความปราชัยแม้จะเร่งเครื่องเต็มที่ในครึ่งหลัง มันก็พอจะบอกได้ว่าเป็นการวางกลยุทธที่ไม่เป็นผล

ไม่ได้บอกว่าผิดพลาดนะครับ.. แค่ไม่เป็นผล เพราะเราไม่อาจรู้ได้เช่นกันว่าถ้าสเปอร์สเปิดแลกเล่นเกมเร็วกับลิเวอร์พูลตั้งแต่ต้น ผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร มันอาจจะไม่ใช่การพับสนามบดขยี้เข้าใส่เหมือนที่เห็นในครึ่งหลังก็ได้

มันเป็นแค่การวิเคราะห์ความคิดของคอนเต้ ว่าเพราะอะไรเขาถึงให้ลูกทีมเล่นอย่างนั้น คือจัดรูปแบบ 5-3-2 และเน้นการตั้งรับ

อีวาน เปริซิช ถูกดันขึ้นไปยืนคู่กับ แฮร์รี่ เคน แม้จะมีจังหวะประสานงานกันโหม่งลูกเปิดของเคนชนเสา แต่ภาพโดยรวมของครึ่งแรกทั้งคู่ไม่อาจสร้างความวุ่นวายให้แนวรับของลิเวอร์พูลได้เลย

แดนกลางสามคนที่ใส่ อีฟส์ บิสซูม่า ลงมาเล่นร่วมกับ โรดริโก้ เบนตานกูร์ กับ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ก ก็ไร้ประสิทธิภาพในการตามบดบี้พื้นที่กลางสนาม

บิสซูม่าคือคนที่จะพุ่งเข้าไปหาฟาบินโญ่ และพื้นที่ของเขาตรงนั้น โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ขยับตัวลงมาเพื่อรับบอล

เซนเตอร์แบ๊กขวาซ้ายของสเปอร์สต้องคอยช่วยแบ๊กซ้อน ดาร์วิน นูนเญซ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ขณะที่กองหลังตัวกลางต้องรักษาตำแหน่งจึงไม่มีใครตามบ๊อบบี้ขึ้นมาในพื้นที่นั้น มันจึงกลายเป็นกองหน้าริมเส้นสองคนของลิเวอร์พูลกดกองหน้าห้าคนของสเปอร์สไม่ให้ขึ้นมาได้ บวกอิสระในการเล่นของบ๊อบบี้เป็นโบนัส

เกมแดนกลางกับหน้าของสเปอร์สไม่สามารถกดดันให้ลิเวอร์พูลจ่ายบอลพลาดหรือแย่งบอลมาครองได้ ลิเวอร์พูลจึงรับส่งบอลกันได้อย่างสบาย พาบอลมาป้วนเปี้ยนในแดนสามได้อย่างต่อเนื่อง

เป็น 45 นาทีที่กินกันขาด กระนั้นสเปอร์สก็เสียแค่ประตูเดียวจากการเข้าทำของหงส์แดง ส่วนอีกประตูคือความเสียหายที่สุดเพราะมาจากความผิดพลาดส่วนตัวของ เอริก ดายเออร์

ทั้งสองประตูคนที่ยิงให้ลิเวอร์พูลคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์

การจบสกอร์ของซาลาห์ทั้งสองลูกช่างเยือกเย็น เด็ดขาด และเป็นระดับโลก โดยเฉพาะประตูแรกที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคิดไว้ตั้งแต่ก่อนได้บอลแล้วว่าจะทำประตูเลยหลังจากจับบอลแรก

คือไม่ได้จับบอลก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อ หรือจับบอลลั่นแล้วแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ตั้งใจไว้เลยว่าจะจับบอลแบบนั้นให้บอลกระดอนขึ้นเล็กน้อยเพื่อตวัดยิงทันที

คิดก่อนกองหลังหนึ่งขั้น ยิงแบบนั้นอาจมีตัวประกบเพียงไม่กี่คนในโลกที่ตามเขาทัน

เมื่อเสียงนกหวีดหมดครึ่งแรกดังขึ้น เชื่อว่าอารมณ์ของเดอะค็อปคงผ่อนคลาย ด้วยเกมแบบนี้ไม่มีปัญหาแน่กับสามแต้ม

ก็นั่นล่ะครับ ปัญหาใหญ่ที่สุดของทีมที่เหนือกว่าในครึ่งแรกก็คือฟุตบอลมันมีครึ่งหลังนี่แหละ

ช่วงเวลาสิบห้านาทีของการพักครึ่งคือช่วงที่เป็นไคลแม็กซ์ที่สุด เพราะเกมอาจเปลี่ยนโฉมหน้าเป็นอีกแบบได้เลยจากการกระตุ้นลูกทีม การปรับแท็คติก การตัดสินใจทั้งหลายของคนเป็นโค้ช

มันคือช่วงไคลแม็กซ์ที่สุดที่ไม่มีแฟนบอลคนไหนได้เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง.. และยังคงจดจำภาพที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกอยู่ในหัว

อาการช็อกตาตั้งจึงมักจะเกิดขึ้นให้เราเห็นอยู่เรื่อยๆ กับการที่รูปเกมในครึ่งหลังเหมือนหนังคนละม้วนกับครึ่งแรก

ถ้ามองในแง่เหตุผล มันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่สเปอร์สจะไม่มีทางเล่นเหมือนครึ่งแรก เพราะถ้าพวกเขาทำได้แค่นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงโอกาสมีคะแนนติดมือ

สเปอร์สต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่ๆ อยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนไปแบบไหน และจะทำได้ดีแค่ไหน

ผมคิดว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ เองก็รู้ ประสบการณ์ระดับเขาทำไมถึงจะไม่รู้ว่าครึ่งหลังมีโอกาสต้องเจอกับอะไรบ้าง เพียงแต่มันไม่ใช่สถานการณ์ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ทีมนำสองประตูกับเกมที่ควบคุมได้ แค่กำชับลูกทีมให้ไม่ประมาท ระวังลูกฮึดของสเปอร์ส และรอจับตาดูว่าคอนเต้จะปล่อยขุนพลไก่เดือยทองลงสนามในครึ่งหลังด้วยกลยุทธแบบไหน

สเปอร์สไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยในแง่ระบบการเล่นและนักเตะในสนาม ไม่มีการเปลี่ยนตัวหรือปรับแท็คติกช่วงพักครึ่ง มันยังเป็นระบบ 5-3-2 เหมือนครึ่งแรก เพียงแต่สิ่งที่คอนเต้เปลี่ยนคือความเข้มข้นในการเล่น

สเปอร์สกลับมาในครึ่งหลังแบบดุดันขึ้น เข้าถึงบอลเร็วขึ้น หนักขึ้น โหมมากขึ้น และโยนบอลเข้าไปโจมตีในแดนสามให้ถี่ขึ้น

เหมือนนักมวยเปลี่ยนสไตล์จากบ๊อกเซอร์เป็นไฟเตอร์ เดินหน้าบดแหลก จังหวะเก็บตกแถวสองที่เคยเป็นของหงส์แดงเรียบวุธในครึ่งแรกก็กลับมาเป็นของสเปอร์สเสียสิ้น

เจ้าถิ่นโหมลุยเข้าใส่ตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง ผมคิดว่าให้เวลาสัก 15-20 นาทีถ้ายันอยู่หลังจากนั้นสเปอร์สน่าจะมีแผ่วและนั่นคือโอกาสฝังของลิเวอร์พูล

แต่ไปๆ มาๆ มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เกมของสเปอร์สไม่มีตกเลย และการลงสนามของ เดยัน คูลูเซฟสกี้ ที่ลงมาแทน ไรอัน แซสเซอญง และ แมตต์ โดเฮอร์ตี้ ลงมาแทน เอเมอร์สัน โรยัล ก็ยิ่งทำให้ลิเวอร์พูลปั่นป่วนมากขึ้น

ปั่นป่วนจนพูดได้ว่าหัวหมุน ถูกกดให้หลังพิงเชือกด้วยเกมของเจ้าบ้านร้อนแรงและเพิ่มอันตรายขึ้นมาอีกมิติ เปริซิชฉีกออกไปยืนวิงแบ๊กซ้ายแทนแซสเซอญง มันคือบทบาทถนัดของดาวเตะโครแอตเลย กลายเป็นสเปอร์สมีอาวุธจากลูกครอสที่ได้เสียทั้งสองฝั่งซ้าย-ขวาในฉับพลัน ซ้ายจากเปริซิช ขวาจากโดเฮอร์ตี้

และก็เป็นคูลูเซฟสกี้นี่แหละที่ไหลบอลให้เคนยิงตีไข่แตกหลังถูกส่งลงสนามได้เพียงสองนาที

วิธีการเล่นของดาวเตะสวีดิชสร้างปัญหาให้เกมฝั่งซ้ายของลิเวอร์พูลทั้ง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และ ติอาโก้ อัลกันตาร่า มากเพราะเขาเล่นได้ดีทั้งสองรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการกระชากออกด้านนอกหรือเลี้ยงตัดเข้าใน ปราดเปรียว เปลี่ยนจังหวะการเล่นได้เร็ว ทั้งยังมีเซนส์การผ่านบอลคิลเลอร์พาสในแบบฉบับของคนเล่นตัวรุก

หลังเสียประตู ลิเวอร์พูลมีเวลาอีกยี่สิบนาทีในการยันให้อยู่ หรือยกระดับเกมตัวเองกลับมา แต่สภาพในตอนนั้นเหมือนโมเมนตัมไม่อยู่กับพวกเขาอีกแล้ว มันเทไปเป็นของสเปอร์สหมดแล้ว 

ลิเวอร์พูลต่อไม่ติด ถูกกดให้รับอย่างเดียว และนั่นทำให้เราได้เห็นการแก้ปัญหาของคล็อปป์ตามมา

มันเป็นการปรับแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าแบบจวนตัว เป็นการปรับแก้เพื่อต้านทานให้อยู่ ไม่ใช่การเปลี่ยนแท็คติกเพื่อจัดการเผด็จศึกคู่ต่อสู้

และมันเป็นการแก้ปัญหาทีละขั้นๆ ชัดเจน

จากรูปแบบ 4-4-2 ไดมอนด์ในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลเล่นเกมรับในครึ่งหลังด้วยรูปแบบ 4-4-2 แนวราบ นูนเญซ กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงต่ำมายืนเป็นปีกซ้าย-ขวาระนาบเดียวกับ ฟาบินโญ่ และ ติอาโก้ ให้ ฟีร์มิโน่ กับ ซาลาห์ เล่นคู่หน้า

เกมไม่ดีเลย จังหวะต่างๆ เปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับความดุดันของสเปอร์สตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง

เมื่อถูกกดดันหนักจนตั้งเกมไม่ติด โดนโขยกเป็นระลอกๆ กระทั่งถูกตีไข่แตกจนได้และเกมหลังจากนั้นก็ถูกบดขยี้เข้าใส่ข้างเดียว คล็อปป์ต้องเปลี่ยนให้ตรงกลางมีผู้เล่นเพิ่มขึ้น

เปลี่ยนจาก 4-4-2 แนวราบเป็น 4-5-1 เคอร์ติส โจนส์ ลงแทน ฟีร์มิโน่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงแทน เอลเลียตต์

เล่น 4-4-2 ในตอนนั้นคู่กลาง ฟาบินโญ่ กับ ติอาโก้ ชะลอเกมและตัดเกมของสเปอร์สไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสร้างสรรค์เกม คล็อปป์จึงต้องส่งเฮนเดอร์สันลงมาช่วยเพิ่มความแน่นตรงกลางอีกคน ซาลาห์ถอยมายืนปีกขวาแทนเอลเลียตต์ และซ้ายเป็นโจนส์ ดันนูนเญซเป็นหน้าเป้า

จาก 4-4-2 เป็น 4-5-1 แต่มันยังไม่พอ ลิเวอร์พูลได้แค่ประคองตัวให้รอด เกมตอบโต้ไม่มีประสิทธิภาพ การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของ นูนเญซ ยังคงเป็นอุปสรรคที่เขาต้องพัฒนาขึ้นไปให้ได้ดีกว่านี้ เขามีความพยายาม มีหน่วยก้านที่ได้เปรียบ แต่ชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมยังไม่โตพอที่จะฝากความหวังได้ในเวลานี้

โจนส์ถูกส่งลงมาเพื่อเพิ่มความสดและเก็บบอล เป็นคนที่จะต้องประวิงเวลาให้ทีมได้หายใจหายคอ แต่จังหวะของเกมที่เป็นของสเปอร์สโดยสิ้นเชิงก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะทำได้อย่างที่คาดหวัง

บอลของสเปอร์สยังคงโหมกระหน่ำมาเรื่อยๆ เหมือนพายุ ซ้ายที ขวาที เกมตรงกลางของลิเวอร์พูลแน่นขึ้นแต่คอนเต้แก้ด้วยการเปลี่ยนบอลข้ามฟากเร็ว ซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย มันฆ่าแดนกลางหงส์แดงเพราะบอลข้ามไปปีกและเข้าแดนสามเร็วกว่าเดิมเสียอีก

การป้องกันของลิเวอร์พูลยิ่งเจอความสาหัสขึ้น กองหลังสี่คนส่ายไปส่ายมาด้วยบอลเปลี่ยนแกนของสเปอร์ส โดยเฉพาะแบ๊กทั้งสองข้างเหนื่อยแทบขาดใจ

มันนำมาซึ่งการปรับแก้ของคล็อปป์อีกครั้ง โจ โกเมซ ถูกส่งลงสนามเพื่อตรึงแผงแนวรับให้แน่นขึ้น จาก 4 คนเป็น 5 คนทำให้ไม่ต้องโย้ซ้ายโย้ขวาหรือวิ่งหุบเข้าใน-ออกข้างนอกวุ่นวายเหมือนเดิม

เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ เรี่ยวแรงกำลังขาก็ยิ่งถดถอย การส่งโกเมซลงมาเสียบแนวแผงเกมรับเพิ่มจาก 4 เป็น 5 คนเพื่อตรึงพื้นที่ให้แน่นในจังหวะนั้นคือเรื่องที่จำเป็นต้องทำ

เปลี่ยนจาก 4-5-1 เป็น 5-5-0 ด้วยซ้ำในช่วงสามนาทีสุดท้าย มันคือการเปลี่ยนเพื่อประคองตัวเองให้รอด ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเกมรุกที่จะลงโทษสเปอร์สอีกแล้ว

นาทีนั้นบังคับให้ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ ครับ หลังพิงเชือกโงนเงนไปมา เข้าใจการตัดสินใจของคล็อปป์เลย เพราะเล็บผมก็กุดไปหมดแล้ว

ถึงช่วงทดเวลานาทีที่สอง อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ถูกส่งลงมาอีกคนแทนที่ซาลาห์ ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าการเปลี่ยนเพื่อถ่วงเวลาทำลายจังหวะของสเปอร์ส ไม่ได้คาดหวังอะไรถึงเกมโต้กลับแล้ว รอเสียงนกหวีดหมดเวลาอย่างเดียว

วินาทีที่ แอนดี้ แมดลี่ย์ เป่านกหวีดหมดเวลา ผมกับเจ้าเจมส์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก เห็นคล็อปป์เป่าปากเดินไปจับมือกับคอนเต้แล้วก็อดเห็นใจปนขำไม่ได้ ขนาดเรายังหัวใจแทบวายขนาดนี้แล้วเขาจะขนาดไหน

ภูเขาของเขาคงลูกใหญ่กว่าเราเยอะ อาจเป็นระดับเอเวอเรสต์เลยก็ได้

เข้าใจเลยว่าเขาต้องเหนื่อยแค่ไหน ต้องพยายามอย่างสุดชีวิตเพียงใด คล็อปป์ต้องเค้นทุกอย่างออกมาจริงๆ เพราะความบีบคั้นมหาศาลของบรรยากาศรอบด้านทั้งที่อยู่ตรงหน้าและที่รอเล่นงานเขาอยู่ถ้าผลการแข่งขันออกมาเป็นอีกแบบ

มันเป็นสามคะแนนที่สำคัญมากสำหรับลิเวอร์พูลเพราะการเยือนสเปอร์สคือเกมยากที่สุดอีกเกมหนึ่งของฤดูกาล อีกทั้งทีมต้องเล่นท่ามกลางปัญหาและการจับตามองมากมายว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรหลังจากแพ้เกมลีกมาสองนัดติด

อาจจะกระท่อนกระแท่นนิดหน่อย (จริงๆ ก็ไม่นิดเท่าไหร่นะ) แต่สุดท้ายก็ได้ผลการแข่งขันที่วิเศษ

เป็นเชื้อฟืนชั้นดีสู่เกมลีกนัดสุดท้ายกับเซาธ์แฮมป์ตันในสัปดาห์หน้าก่อนหยุดพักให้ฟุตบอลโลก ส่วนเกมลีก คัพกับดาร์บี้ เคาน์ตี้ กลางสัปดาห์นี้ไม่น่าจะผิดไปจากที่คาดคือเป็นโอกาสของเด็กดาวรุ่ง

แล้วจากนั้นเด็กหงส์อย่างเราก็จะได้พักผ่อนดูแลหัวใจที่ใช้งานมาหนักเหลือเกินตั้งแต่ต้นฤดูกาล

ปะผุ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยการเปลี่ยนบรรยากาศไปเชียร์ฟุตบอลโลกกันบ้าง

ผ่อนคลายอารมณ์กันด้วยศึกเวิลด์คัพแล้วค่อยกลับมาว่ากันใหม่ ด้วยความหวังที่เรืองรองขึ้นกว่าเดิม

ก็ชนะได้แบบนี้ แม้จะลุ้นเหนื่อยจนหมดแรง แต่ก็ยังนอนหลับได้อย่างมีความสุขนะครับ อย่างน้อยก็มีสามคะแนนในมือล่ะน่า..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport