ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ชี้ ลิเวอร์พูล ไม่หมกมุ่นผลทีมอื่น มุ่งมั่นคว้าชัยต่อไป

ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ดาวเตะ ลิเวอร์พูล แสดงความเชื่อว่าทีมของตนยังมีดีพอที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาลนี้มาครองได้ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้เป็นจ่าฝูงแล้วก็ตาม

"หงส์แดง" เพิ่งออกไปเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 ทำให้ตอนนี้พวกเขามี 71 คะแนนเท่ากับ อาร์เซน่อล แต่ "ไอ้ปืนใหญ่" ครองอันดับ 1 ของตารางคะแนนด้วยความที่มีผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าทีมจากย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์

แข้งวัย 21 ปี เผยว่า "เราจะไปหมกมุ่นกับทีมอื่น, ดูว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ และเล่นกันโดยยึดจากเกมของทีมเหล่านั้นเป็นหลักไม่ได้เด็ดขาด เราจำเป็นต้องมีความเห็นแก่ตัวกันต่อไป และเดินหน้าเก็บ 3 แต้มให้ได้ ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่ดีที่สุดที่จะคว้าแชมป์มาครองได้ เรามีกลุ่มแฟนบอลอันน่าเหลือเชื่อที่คอยสนับสนุนเรา พวกเขาพร้อมจะเชียร์เราในทุกนัดไปจนกระทั่งจบฤดูกาลนี้ และเราก็มีทีมที่แกร่งพอสำหรับการได้แชมป์ด้วย ดังนั้นทำไมเราถึงจะไม่สามารถทำได้กันล่ะ ?"

"สิ่งที่เราต้องทำก็คือเดินหน้าต่อไปและดูกันไปแบบเกมต่อเกม, ทำให้มั่นใจว่าเราจะฟื้นฟูได้ดีทั้งในด้านสภาพร่างกายและจิตใจ พร้อมกับลุยกันต่อไป มันจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายที่หนักหนาสาหัส แต่เราต้องเดินหน้าต่อไป"

เอลเลียตต์ เผยด้วยว่าพอใจในระดับหนึ่งกับการที่ทีได้ 1 แต้มจากเกมแดงเดือด "เราควรจะได้ 3 แต้มจากเกมนั้น แต่ผมคิดว่าเราก็จำเป็นต้องพิจารณาสถานการณ์ตามความเป็นจริงด้วย และตอนที่ผมลงไปน่ะเราเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ ผมคิดว่าทีมของเราแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักสู้ที่น่าทึ่งและความกล้าหาญในการกลับมาสู่เกมได้, การยังไม่สติแตก, การทำให้ตัวเองยังอยู่ในเกมและตีเสมอได้ในท้ายที่สุด การได้ 1 แต้มมันดีกว่าการไม่ได้อะไรเลยอยู่แล้ว แน่นอนว่าเราอยากได้ 3 แต้ม ไม่ต้องสงสัยถึงเรื่องนั้นเลย แต่การได้ 1 คะแนนมันก็ยังดีกว่าการแพ้น่ะนะ"

"เกมนี้เรามีโอกาสเยอะมาก แต่เราทำได้ไม่ดีพอไม่ว่าจะเป็นการผ่านบอลจังหวะสุดท้ายหรือการจบสกอร์ ฟุตบอลมันก็เป็นแบบนี้แหละ แต่มันยอดเยี่ยมมากๆ ที่เรายังสู้และมีความมุ่งมั่นกันจนถึงตอนจบเกมได้ ผมคิดว่าในฐานะทีม รวมถึงในฐานะสโมสรแล้วนั้น ไปจนถึงแฟนๆ ที่คอยหนุนหลังเราแล้วนั้น มันก็ต้องให้เครดิตกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะการเล่นในสนามแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราจำเป็นต้องสู้กันต่อไป เพราะหลังจากนี้โปรแกรมมันจะหินมากๆ และเราจำเป็นต้องเดินหน้ากันต่อ"