ไม่มีเกมไหนง่าย! ลิเวอร์พูล กับชัยชนะที่ต้องการก่อนลุยศึกแดงเดือด

ไม่มีเกมไหนง่ายดายจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณกำลังลุ้นแชมป์

ความกดดัน แรงเสียดทาน อาการตึงเครียด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งกับเกมที่ไม่น่าจะมีปัญหาที่สุด

รับมือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่แอนฟิลด์.. ผู้สันทัดกรณีมากมายใส่สกอร์ขาดลอยไม่หนีกันเท่าไหร่ คริส ซัตตัน ให้ 5-0 พอล เมอร์สัน ให้ 3-0 เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

มันควรจะเป็นเกมที่ง่ายนั่นล่ะครับ ลิเวอร์พูลเล่นในบ้าน กำลังลุ้นแชมป์ เกมรุกจัดจ้าน ขณะที่ทีมดาบคู่ย่ำแย่ เกมบุกทื่อ เกมรับหลวม สถิติเสีย 77 ประตูจาก 29 นัดกำลังท้าทายสถิติเสียประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล 89 ลูกของดาร์บี้ เคาน์ตี้ อย่างจริง ๆ จัง ๆ (ระบบ 38 เกม ขณะที่สถิติ 2 อันดับสูงสุด สวินดอน ทาวน์ เสีย 100 ประตู และ อิปสวิช ทาวน์ เสีย 93 ประตู มีขึ้นในฤดูกาลที่เตะ 42 เกม)

แต่บนเส้นทางลุ้นแชมป์ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ทางตรงสุดท้ายเดือนเมษายน ไม่มีเกมไหนง่ายหรอก และ 90 นาทีที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันพฤหัสฯ ฉายภาพนั้นให้เราเห็นอีกครั้ง

การครองบอลแปดสิบกว่าเปอร์เซนต์ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ลิเวอร์พูลครองบอลบุกเข้าใส่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดตั้งรับให้แน่น รอโอกาสสวนกลับหรือลุ้นจากจังหวะฉาบฉวยและลูกตั้งเตะอย่างที่ทำในนาทีแรกที่เกือบได้ประตู 2 ครั้ง 2 หน

มีตัวรออยู่ที่เสาสอง ครั้งแรก ควีวิน เคลเลเฮอร์ ช่วยป้องกันจ่อ ๆ ครั้งที่สอง เบน เบรเรตัน กองหน้าทีมชาติชิลีของ เชฟฯ ยูไนเต็ด เข้าชาร์จไม่ทัน ไม่อย่างนั้นสกอร์บอร์ดที่แอนฟิลด์คงได้ทำงานเร็ว

เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดตัวด้วยขุนพลที่ดีที่สุดเท่าที่พร้อมให้เลือก ไม่หมุนพักผู้เล่นตัวหลักครึ่งทีมอย่าง อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งแย่งแชมป์ในเกมกลางสัปดาห์นี้

ถามว่าเพื่ออะไร คำตอบง่ายนิดเดียว เพราะคล็อปป์ไม่ต้องการความเสี่ยงใด ๆ ทั้งสิ้น.. ก็แค่นั้น

ทุกเกมที่ลงสนามคือนัดชิงชนะเลิศ ต้องเน้นมันทั้งหมด นักเตะเองก็ต้องรู้ว่าทีมต้องการพลังจากพวกเขาแค่ไหน มีแรงเหลือกี่ก๊อกเตรียมเอามันออกมาใช้ให้เกลี้ยง

ในวันที่ วาตารุ เอนโด มีอาการฟกช้ำเล็กน้อย คล็อปป์เลือกพักกองกลางทีมชาติญี่ปุ่นเอาไว้เลยเพื่อรอลงเตะศึกใหญ่ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วันอาทิตย์นี้ และเลือก อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ปักหลักเล่นหมายเลข 6 แทน

ไม่ใช้ โจ โกเมซ เป็นมิดฟิลด์ตัวรับอย่างที่ให้เล่นในบางเกมช่วงหลัง ๆ

บางคนบ่นว่าเสียของ.. แม็ค อัลลิสเตอร์ กำลังโลดแล่นในตำแหน่งเบอร์ 8 ทำไมถึงถูกถอยไปเล่นเบอร์ 6 อีกแล้วทั้ง ๆ ที่เกมอย่างนี้ใช้ โกเมซ ก็ได้

อันที่จริงไม่ว่าจะเลือกใช้ใครก็ล้วนมีเหตุผลรองรับทั้งหมด ใช้โกเมซเล่นเบอร์ 6 ดันแม็คก้าเล่นเบอร์ 8 ร่วมกับ โดมินิก โซโบซไล ก็เป็นภาพที่เข้าล็อกดีเพราะพื้นที่แบ๊กซ้ายก็มีตัวเลือกทั้ง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ คอสตาส ซิมิกาส

แต่ใช้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ยืนเบอร์ 6 ก็ไม่ใช่เรื่องผิด เขาเคยเล่นมาแล้วและทำได้ดี อีกทั้งในช่วงนี้ก็ยังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม มันยังเป็นการเปิดโอกาสให้ ไรอัน กราเฟนแบร์ค ได้ลงสนามทำเกมร่วมกับโซโบซไล

ผลงานในตำแหน่งแบ๊กซ้ายของ โกเมซ ในฤดูกาลนี้ก็ไม่มีอะไรผิดพลาด รับผิดชอบหน้าที่ได้ดี เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกช่วยได้ในบางโอกาส

ที่สำคัญคือลิเวอร์พูลน่าจะเป็นฝ่ายได้ครองบอลต่อเนื่องในเกมนี้ และ โกเมซ ก็จะขยับเข้าไปเป็น Inverted fullback ยามที่ทีมตั้งเกมบุก กลายเป็นกองกลางไปในตัวและดันแม็คก้าขึ้นไปช่วยเกมรุกอยู่ดี

บนหน้ากระดาษ แม็ค อัลลิสเตอร์ จึงยืนเบอร์ 6 แต่ในการเล่นจริงส่วนใหญ่แล้วเขาจะขยับขึ้นไปช่วยเกมรุกมากกว่าการเล่นเกมรับ

ผมชื่นชมนักเตะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ว่าตั้งใจเล่นอย่างมีสมาธิ พยายามปิดพื้นที่ไม่ให้ลิเวอร์พูลเจาะเข้าไปทำประตูง่าย ๆ ช่วยกันเล่น ช่วยกันเข้า ช่วยกันซ้อน

คริส ไวลเดอร์ ไม่ได้เล่นเกมอุดประตูทุกคนอออยู่หน้าเขตโทษตัวเองแต่ตั้งรับในแดนด้วยรูปแบบ 5-3-2 บอลคืบเข้ามาในแดนก็เตรียมพร้อม รักษาระยะห่างระหว่างแดนไม่ให้บอลทะลุไลน์ของเจ้าถิ่นทำงานไหลลื่น

ทีมเยือนทำได้ดีถึงขนาดที่ฝั่งลิเวอร์พูลอึดอัดต้องอาศัยการยิงไกลบ่อยครั้งด้วยความที่เจาะเข้าไปยิงแบบหวังผลในเขตโทษไม่ได้

คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ เติมเกมบุกสนุกเหมือนเคย เกมนี้แบ๊กขวาดาวรุ่งยิ่งแทบจะปักหลักเล่นอยู่ในแดนเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วยพื้นที่ด้านหลังในตำแหน่งของเขาจะไม่ถูกโจมตีอย่างอันตรายเหมือนเกมที่เจอไบรท์ตันเพราะคุณภาพของทีมดาบคู่ยังห่างอยู่มาก

ทีมเยือนเล่นอย่างอดทนและมีวินัยมาก แม้กระทั่งหลังจากเสียประตูให้ลิเวอร์พูลตั้งแต่นาทีที่ 17 จากความผิดพลาดของ อีโว เกอร์บิช นายทวารชาวโครแอตที่ออกบอลช้าจนเตะอัด ดาร์วิน นูนเญซ กระดอนกลับไปเข้าประตู ก็ยังไม่สติแตกลนลาน

พวกเขายังคงเล่นเหมือนเดิม รักษาสกอร์ยามนั้นเอาไว้ไม่ให้ไกลเกินไปกว่าที่เป็น ตามหลังประตูเดียวยังอยู่ในวิสัยที่สามารถกลับมาได้ถ้าอะไรเป็นใจ แต่ถ้าแตกตื่นเป็นผึ้งแตกรังควบคุมสมาธิไม่ได้มีแต่จะโดนเพิ่มและอาจจะจบเห่ตั้งแต่ครึ่งแรก

เล่นให้เหมือนเดิม ใจเย็น รับให้แน่น ช่วยกันปิดพื้นที่ ประตูที่เสียก็แค่โชคร้าย ลืมมันไปซะแล้วเริ่มใหม่ อย่าให้ลิเวอร์พูลยิงเพิ่มได้เด็ดขาด

มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เกมรับของ เชฟฯ ยูไนเต็ด ทำได้ดีจนลิเวอร์พูลอึดอัด นักเตะก็อึดอัด กองเชียร์ก็อึดอัด ด้วยรู้ดีว่าตราบใดที่ประตูที่สองยังไม่มาก็ยังวางใจไม่ได้

เกมในครึ่งแรกจบลงโดยไม่มีประตูเพิ่ม จริง ๆ แล้วมันก็เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ลิเวอร์พูลมีประตู 1-0 ตั้งไว้และเกมที่แทบไม่ถูกคุกคาม รอแค่โอกาสทำประตูที่สองในครึ่งหลัง ขณะที่ทีมเยือนการตามอยู่แค่ประตูเดียวย่อมมีโอกาสกลับมาได้เสมอต่อให้การครองบอลจะมีไม่ถึง 30 เปอร์เซนต์

ด้วยมาตรฐานของทั้ง 2 ทีมเวลานี้มันก็ควรจะออกมาในรูปนี้อยู่แล้ว น่าพอใจด้วยซ้ำที่ไม่ตามหลังไกล 3-4 ลูกตั้งแต่พักครึ่ง

ถ้าจะมีจุดที่น่ากังวลอยู่บ้างสำหรับลิเวอร์พูลในครึ่งแรกก็คือโอกาสเหมาะเหม็งในการทำประตูแทบไม่เกิดขึ้น จังหวะลุ้นส่วนใหญ่เป็นการยิงไกลเพราะเจาะเข้าไปทำไม่ได้

ตลอดครึ่งแรกน่าจะมีจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไหลบอลให้ ดาร์วิน นูนเญซ สปีดไปตวัดบอลตรงเส้นหลังเข้ามาหน้าประตูแต่ไม่มีใครพุ่งเข้าชาร์จในช่วงที่เกมยังเสมอกันอยู่ 0-0 นั่นกระมังที่สร้างโอกาสยิงในเขตโทษแบบเห็นหน้าเห็นหลัง

ที่เหลือเป็นการพยายามยิงไกล จากนอกเขตโทษ จากกรอบเขตโทษ ดาร์วินยิงท่ามกลางผู้เล่นดาบคู่ 3-4 คนรุมล้อม แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้ยิงหน้าเขตโทษ กราเฟนแบร์ครับบอลจาก หลุยส์ ดิอาซ แล้วรีบพลิกยิงจากนอกเขตไม่ไหลเข้าช่องให้ดิอาซที่วิ่งทะลุเข้าเขตโทษ

ยังขาด ๆ เกิน ๆ และไม่แน่นอนในจังหวะสุดท้าย

ครึ่งหลังเริ่มต้นด้วยภาพที่มองเห็นได้ว่าลิเวอร์พูลเล่นอย่างอดทนขึ้นในจังหวะทำประตู พยายามหาช่องเจาะเข้าทำมากขึ้น ยิงไกลน้อยลงเพราะมันหวังผลได้ไม่มาก

เกมยังเป็นของเจ้าถิ่นแต่แล้วจังหวะโต้กลับที่ดีและเกมรับที่หละหลวมเพียงเล็กน้อยกลับกลายเป็นเสียประตูตีเสมอให้ผู้มาเยือนในนาทีที่ 58

กุสตาโว ฮาเมอร์ คิดเร็วทำเร็วแก้การถูกพุ่งขึ้นไปบีบจาก อิบราฮิมา โกนาเต้ และ โซโบซไล ตรงกลางสนามด้วยการตวัดเปิดบอลจังหวะเดียวให้ เจมส์ แม็คเอที ทางปีกขวา

โกเมซที่คุมพื้นที่ตรงนั้นเข้าพรวดถูก แม็คเอที โยกหลบไปโยนได้ บอลลึกไปถึงเสาสองซึ่งก็เป็น ฮาเมอร์ ที่วิ่งขึ้นมาช่วยทันทีหลังจากเป็นคนเปิดบอลจังหวะแรกโหม่งไปถูกขาแบร๊ดลี่ย์เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง

จากที่ครองเกมได้และดูเหมือนไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ลิเวอร์พูลตกอยู่ในสถานการณ์เสียแต้มโดยฉับพลัน เดอะค็อปหลายคนน่าจะเริ่มใจคอไม่ดีไม่เพียงเพราะเวลาเหลือน้อยลงเท่านั้น แต่รูปเกมที่ยังอึดอัดไม่อาจสร้างความสบายใจได้เลยว่าใกล้เคียงกับการได้ประตูที่สอง

แล้วคล็อปป์ก็เปลี่ยนตัวผู้เล่น 2 คนแรก กราเฟนแบร์ค ออก โรเบิร์ตสัน ลง แท็คติกนี้ชัดเจนคือ ร็อบโบ้ ไปเล่นแบ๊กซ้าย ดัน โกเมซ มายืนกองกลางตัวรับเพื่อดัน แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปปักหลักตัวบนถาวรคอยสร้างเกมรุก

แต่อีกคนที่ถูกถอดออกคือซาลาห์.. น่าจะเป็นตัวเลือกที่แฟนบอลประหลาดใจอยู่บ้างเพราะต่อให้ในเกมดาวเตะอียิปต์แทบจะไม่มีบทบาทเลยก็ตาม ทว่าด้วยความเป็นซาลาห์ ทีมยังคงคาดหวังในตัวเขาได้เสมอ

ผมคิดว่ามีโอกาสที่ซาลาห์จะมีอาการตึงที่กล้ามเนื้อหรืออะไรทำนองนั้น คงต้องรอเช็กข่าวหลังเกมกันอีกที แต่กระนั้นการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 60 ก็เป็นเวลาพอดีสำหรับการปรับแท็คติกด้วย จึงเชื่อว่าเป็นความตั้งใจของคล็อปป์เลยมากกว่า

เขาตั้งใจถอดซาลาห์ออกเลย เพราะด้วยเวลาเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ซาลาห์เองก็เงียบไปนานจนแทบไม่มีบทบาท มันเสี่ยงเกินไปที่จะหวังพึ่งความมหัศจรรย์ของเขาในช่วงเวลาที่เหลือ และการส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เจ้าของวันเกิดครบ 21 ปีลงไปเพิ่มความสดชื่น เพิ่มพลังก่อกวนเกมรับของคู่แข่งอาจมีอิทธิพลต่อเกมมากกว่า

มันก็ต้องแลก ต้องเสี่ยง และต้องตัดสินใจ เชื่อว่าถ้าผลการแข่งขันออกมาเป็นอย่างอื่น คล็อปป์ก็คงถูกตำหนิไม่น้อยในการเปลี่ยนตัวครั้งนี้

เกมยังเป็นของลิเวอร์พูลแต่ เชฟฯ ยูไนเต็ด ดูมั่นใจขึ้นหลังประตูตีเสมอ อ่านจังหวะตัดบอลแย่งบอลได้ดี เพียงแต่คุณภาพในการเล่นโต้กลับของพวกเขามีน้อยเกินไปจริง ๆ ที่จะเล่นงานลิเวอร์พูล

ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าโมเมนตัมแห่งความมั่นใจนี้ไปอยู่กับทีมอย่าง เบรนท์ฟอร์ด บอร์นมัธ หรือ ไบรท์ตัน เดอะค็อปน่าจะหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มมากกว่านี้แน่

ความอึดอัดยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป การได้ประตูช่างยากเย็น เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ได้โขกลูกเตะมุมเหน่ง ๆ ก็ยังถูก เกอร์บิช ปัดทิ้ง

คล็อปป์ต้องเปลี่ยนตัวเพิ่มอีก 2 คนพร้อม ๆ กัน โซโบซไล กับ โกเมซ ถูกถอดออกเพื่อส่ง เคอร์ติส โจนส์ ที่ฟิตเต็มที่แล้วกับ โกดี้ คักโป ลงแทนในช่วง 18 นาทีสุดท้าย

นักเตะสำรองที่ลงสนามของลิเวอร์พูลมีบทบาททั้งหมด เอลเลียตต์ ช่วยกดดันเกมรับของเชฟฯ ยูไนเต็ดได้ดี และเป็นคนเปิดบอลให้ โรเบิร์ตสัน วิ่งเข้าชาร์จที่เสาไกลหลุดกรอบอย่างได้ลุ้น ร็อบโบ้เองก็เติมเกมดุดันในแบบที่เป็นเขา

คักโปลงมาช่วยเก็บบอลและไล่บอลในแดนหน้า มีความสดเข้ามาเล่นงานแข้งขานักเตะทีมเยือนที่เริ่มอ่อนล้า ส่วน โจนส์ ก็ยังทำได้นิ่งในแดนกลาง มีมาตรฐานแบบช่วงที่เล่นดีก่อนเจ็บ ตัดบอลแย่งบอลแล้วพาขึ้นมาทำเกมเองบ่อยครั้ง

ประตู 2-1 ที่เดอะค็อปรอคอยก็มาจากการเติมเกมของโรเบิร์ตสันและโจนส์

โจนส์กล้าพาบอลจี้เข้าใส่กดดันแนวรับเชฟฯ ยูไนเต็ดหน้าเขตโทษก่อนที่จะไหลออกซ้ายให้โรเบิร์ตสันเปิดเรียดแบบได้เสียเข้าเขตโทษ นักเตะดาบคู่ 3 คนวิ่งตามคักโปกับนูนเญซที่พุ่งเข้าเตรียมชาร์จในกรอบ 6 หลา ทำให้พื้นที่หน้าเขตโทษโล่งเมื่อบอลจากร็อบโบ้ถูกสกัดกระดอนออกมาตรงหัวกะโหลก

แล้วที่ตรงนั้น แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็รอท่าอยู่ มิดฟิลด์แชมป์โลกวิ่งมากดเต็มหลังเท้าขวาส่งบอลพุ่งแรงเป็นลูกปืนใหญ่เข้าไปเสียบสามเหลี่ยมอย่างสะใจ

เสียงไชโยระเบิดก้องกัมปนาท มันเป็นการทำประตูต่อหน้าอัฒจันทร์ฝั่งเดอะค็อป ปลดเปลื้องความกังวลทั้งหมดออกไป มันไม่เพียงมาจากการยิงที่สมบูรณ์แบบของแม็คก้าเท่านั้น แต่ยังมาจากการเข้าทำเป็นทีมที่แต่ละคนล้วนมีหน้าที่ของตัวเองอีกด้วย

เมื่อลิเวอร์พูลได้ประตูที่ 2 ผมมั่นใจลึก ๆ ว่าหงส์แดงเก็บ 3 คะแนนได้ค่อนข้างแน่แล้ว ด้วยเหตุผลไม่เพียงแค่เวลาเหลือน้อยลงและพวกเขาที่เหนือกว่าคงไม่เปิดโอกาสให้เชฟฯ ยูไนเต็ดกลับมาเป็นครั้งที่ 2 ในเกมเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องคุณภาพเกมรุกของผู้เล่นดาบคู่เอง เรี่ยวแรงกำลังขาที่หดหายจากการถูกกดให้ตั้งรับตลอดเวลา และกำลังใจที่ถูกบั่นทอนจากประตูนั้นของแม็ค อัลลิสเตอร์ ด้วย

มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ประตูของแม็ค อัลลิสเตอร์ เกิดขึ้นในนาทีที่ 76 หลังจากนั้นเป็นลิเวอร์พูลที่มีโอกาสได้ประตูต่อไปมากกว่าทั้งฟรีคิกชนคานของแม็คก้าและจังหวะยิงซ้ำลูกปัดของเกอร์บิชโดยนูนเญซที่ให้น้ำหนักแรงเกินไป

แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลก็ได้ประตูฝัง 3-1 จริง ๆ และทำให้ทุกคนโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก สามคะแนนได้รับการยืนยันด้วยลูกโหม่งของ คักโป ในนาทีที่ 90 จากการเปิดให้อย่างเหมาะเหม็งของโรเบิร์ตสัน

เป็นตัวสำรองคนแรกของลิเวอร์พูลที่ยิงประตูใส่เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดได้ และเป็นคนที่ 15 ไม่ซ้ำหน้าเดิมใน 15 ประตูหลังสุดที่ลิเวอร์พูลยิงใส่ทีมดาบคู่

นาทีนั้นมีเพียงปาฏิหาริย์ที่จะพา เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กลับมาได้..

ผมยินดีกับประตูนี้เป็นพิเศษเพราะ คักโป เป็นคนทำมันได้ เขาลงสนามท่ามกลางความกดดันจากเสียงวิจารณ์หนักหน่วงจากแฟนบอลในช่วงที่ผ่านมา บางคนด่าเขาสาดเสียเทเสียไม่มีชิ้นดี ดูถูกเขาราวกับเป็นขยะชิ้นหนึ่งเพียงเพราะฟอร์มตก เล่นขัดหูขัดตา

ดีใจที่เขาทำประตูได้และหวังว่าประตูนี้จะช่วยให้ คักโป เรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้งสมกับที่เพื่อนร่วมทีมและเจ้านายเชื่อมั่นในตัวเขา

การให้สัมภาษณ์ของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ข้างสนามหลังจบเกมยืนยันเรื่องนี้ชัดเจน

เขาถูกนักข่าว TNT Sports ถามถึงเรื่องเกมที่รออยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่หลังจากพูดถึงเกมวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้แล้ว แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ขอพูดถึง คักโป ที่ยืนให้สัมภาษณ์อยู่ด้วยกันด้วย

"ขอผมพูดอะไรหน่อยสิ ผมยินดีด้วยจริง ๆ กับเขา เขาทำงานหนักจริง ๆ หนักมาก ๆ และวันนี้เขาก็ทำประตูได้ในที่สุด ผมดีใจกับเขามากเพราะเขาทุ่มเทเหลือเกิน มองโลกในแง่บวกเสมอและเป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อน ๆ ผมดีใจกับเขาและกับทีมเราทุกคน"

ลิเวอร์พูลได้ชัยชนะอย่างที่ต้องการและแซงอาร์เซน่อลกลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง นำทีมปืนใหญ่ 2 แต้ม นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3 แต้มเมื่อเข้าสู่ 8 เกมสุดท้าย

คุณไม่พลาด ผมก็ไม่พลาด อีกเกมหนึ่งแล้วที่ผ่านไป พักแค่วันเดียวแล้วพรุ่งนี้มาลุยกันต่อ

เรือใบสีฟ้าลงเตะก่อนช่วงหัวค่ำไปเยือนคริสตัล พาเลซ ตามมาด้วยทีมปืนใหญ่คู่ดึกลงใต้ไปเยือนไบรท์ตัน

เดอะค็อปได้แต่หวังว่าเกมวันเสาร์จะมีสักทีมหรือทั้งสองทีมสะดุดหกล้ม เพื่อโอกาสที่มากขึ้นหลังจบศึกแดงเดือดในวันอาทิตย์และก้าวเข้าสู่ 7 เกมสุดท้ายของฤดูกาล..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport