เรื่องดีๆของ ลิเวอร์พูล นอกเหนือชัยชนะในเกมที่อึดอัด

ในแง่ของเกม ไม่มีอะไรน่าตำหนิเลยสำหรับลิเวอร์พูล..

ทุกอย่างยังดูดี กดดันได้ แย่งบอลได้ ทำเกมได้ สร้างสรรค์โอกาสได้ มองเห็นจินตนาการในการเล่น

มองเห็นชัดเจนถึงความมุ่งมั่นที่จะเอาประตู พยายามอย่างทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อชัยชนะ

เกมที่เลื่อนมาเตะเร็วกว่าเดิมเพราะติดโปรแกรมชิงลีก คัพ กับเชลซีวันอาทิตย์ ทุกคนรู้ดีว่าสำคัญแค่ไหนที่ต้องเอาชนะ ลูตัน ทาวน์ ให้ได้

เพื่อชิงเก็บสามคะแนนก่อนจากการเตะก่อน ฉีกหนี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล ออกไปเป็น 4 แต้ม กับ 5 แต้ม

เพื่อโอกาสที่มากขึ้นในการกลับไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลที่ทำท่าว่าจะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นและระทึกใจที่สุดอีกซีซั่นหนึ่ง ม้าอาจมีสามตัวไปจนถึงปลายทาง

เพื่อแก้ตัวจากเกมแรกที่ต้องดิ้นรนเต็มที่กว่าจะเก็บคะแนนกลับจาก เคนิลเวิร์ธ โร้ด เกมนั้นคะแนนกระเด็นไป 2 แต้มแล้ว ถ้าเกมนี้หลุดมือไปอีกไม่ว่าจะเป็น 2 หรือ 3 คะแนนย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนกับโอกาสเป็นแชมป์

เพราะฉะนั้นโจทย์คือ 3 คะแนนเท่านั้น.. เพียงแต่สภาพความพร้อมก่อนเกมดูเหมือนจะไม่ค่อยเอื้อให้รู้สึกอย่างนั้นเท่าไหร่

ดาร์วิน นูนเญซ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นอีก 2 คนที่หายหน้าไปจากทีม มันเป็นการตอกย้ำความกังวลที่เกิดขึ้นตลอด 2-3 วันที่ผ่านมาในเรื่องความพร้อมของทั้งคู่

เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เสี่ยงเลย เขาไม่ใส่ชื่อหัวหอกอุรุกวัยกับดาวเตะอียิปต์ไว้ในชื่อตัวสำรองด้วยซ้ำ คาดกันว่าทั้ง 2 คนน่าจะกลับมาช่วยทีมที่เวมบลีย์ในวันอาทิตย์นี้ได้โดยที่อาจจะมี โดมินิก โซโบซไล อีกคน ตรงนี้ต้องติดตามดูกันอีกที 

นักเตะตัวจริงของคล็อปป์ในเกมนี้ไม่มีอะไรติดขัด ดาร์วิน กับ ซาลาห์ ไม่อยู่ โกดี้ คักโป และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ รับหน้าที่แทน คักโปเล่นหน้าเป้า เอลเลียตต์เล่นหน้าขวา มี หลุยส์ ดิอาซ อยู่ทางซ้าย

วาตารุ เอนโด กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ยืนพื้นเป็นกองกลางตัวจริง สมทบด้วย ไรอัน กราเฟนแบร์ค ขณะที่เกมรับ จาเรลล์ ควอนซาห์ ถูกส่งมายืนคู่กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เพื่อพัก อิบราฮิมา โกนาเต้ ไว้สำหรับเกมวันอาทิตย์

เช่นเดียวกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน นั่งสำรองไปก่อน ให้ โจ โกเมซ กับ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ประจำการตำแหน่งฟูลแบ๊ก ควีวิน เคลเลเฮอร์ ยังเฝ้าเสาแทน อลีสซง เบ็คเกอร์

ไม่มีอะไรสะดุดใจในพื้นที่ตัวจริง แต่ขุมกำลังสำรองนั้นอาจให้ความรู้สึกอีกอย่าง

บ๊อบบี้ คล้าร์ก, เจมส์ แม็คคอนเนลล์, เคด กอร์ดอน, เทรย์ นีโยนี่ และ เจย์เดน แดนน์ส คือผลผลิตจากทีมอะคาเดมี่ที่มีชื่อในทีมเกมนี้ร่วมกับรุ่นพี่อย่าง โรเบิร์ตสัน, โกนาเต้, อาเดรียน และ คอสตาส ซิมิกาส

หลายคนหวั่นใจ ถ้าสถานการณ์ไม่ดีจะแก้ไขอย่างไร ถ้าเกมตึงเครียดความกดดันมหาศาล เด็กพวกนี้จะพึ่งพาได้แค่ไหน ทำไมปัญหาบาดเจ็บถึงต้องมาเกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย โชคชะตากลั่นแกล้งอีกแล้ว..

อันที่จริงฤดูกาลนี้เราสังเกตเห็นได้ชัดมากๆ เลยนะครับว่าเด็กดาวรุ่งจากทีมเยาวชนของลิเวอร์พูลนั้นมีของมาโชว์แทบทุกคน ต่างคนต่างทำผลงานชนิดที่เรียกได้ว่าแข่งกันอวดของ

ควอนซาห์ยึดสถานะทีมชุดใหญ่ไปแล้ว แม็คคอนเนลล์โดดเด่นมากในเกมเอฟเอ คัพที่ถล่ม นอริช ซิตี้ แบร๊ดลี่ย์ยิ่งไปกันใหญ่ เขาคือการแจ้งเกิดแห่งฤดูกาล ยังไม่รวม คล้าร์ก, โอเว่น เบ็ค, เบน โด๊ค รวมไปถึง สเตฟาน บายเซติช ที่ขึ้นมาก่อนตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว

สุดท้ายแล้วก็อาจจะย้อนกลับไปที่คนใส่นักเตะเหล่านี้อยู่ในทีม ถ้าคล็อปป์ไม่ไว้ใจพวกเขา ก็คงไม่มีชื่อพวกเขา ง่ายๆ แค่นั้น

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ในปัญหาบาดเจ็บต้องสูญเสียนักเตะที่เราคิดว่าหาใครมาแทนไม่ได้ไป เราอาจจะได้นักเตะที่เป็นหัวใจดวงใหม่ขึ้นมาแทน ฟุตบอลมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเสมอ

เด็กกลุ่มนี้ต้องการโอกาส ต้องการเวทีที่จะแสดงผลงาน การเกิดขึ้นของ แอ๊กซ่า เทรนนิ่ง เซนเตอร์ ที่ทำให้ทีมชุดใหญ่กับทีมอะคาเดมี่ซ้อมในพื้นที่เดียวกันเริ่มผลิดอกออกผลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ฤดูกาลนี้เห็นผลเด่นชัดมาก

ในเกมกับ ลูตัน ทาวน์ ลิเวอร์พูลทำทุกอย่างที่ต้องทำตั้งแต่เสียงนกหวีดดังขึ้น เดินเครื่อง ไล่บดขยี้ สร้างโอกาสจากบอลหลายหลายรูปแบบ ผ่านบอลสั้น วางบอลยาว เลี้ยงแหวกตีโซนป้องกันให้ปั่นป่วน บอลครอสจากด้านข้าง บอลเจาะเข้าช่อง เร่งสปีดของเกม ส่งบอลกันด้วยความรวดเร็ว ดันสูงตัดเกมในแดนบน

ทำทุกอย่าง และมันก็นำมาซึ่งโอกาสทำประตูมากมาย เพียงแต่มันคล้ายจะเป็นเกมในแบบที่ "ไม่ใช่วันของตัวเอง" ทุกอย่างดีหมดแล้ว แต่ประตูไม่มา

พยายามเท่าไหร่ ประตูก็ไม่มา.. โดยเฉพาะโอกาสของ ดิอาซ กับ คักโป ที่พลาดไปพลาดมาจนรู้สึกเหมือนโดนกลั่นแกล้ง

ลิเวอร์พูลจบครึ่งแรกด้วยการตามหลัง 0-1 แบบงงๆ เสียประตูนั้นเกิดขึ้นได้และต้องชมการประสานงานของผู้เล่นลูตัน ทาวน์ ในจังหวะได้ประตูตั้งแต่นาทีที่ 12 แต่การทำไม่ได้สักประตูในรูปเกมที่ควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จและมีโอกาสพังประตูมากมายนี่สิที่ทำให้อดกังวลไม่ได้

หรือมันจะไม่ใช่วันของเราจริงๆ จะมาดวงแตกเอาในวันที่ต้องการได้ 3 คะแนนที่สุดเกมนี้หรือ

แต่ในที่สุดลิเวอร์พูลก็กลับมาได้ในครึ่งหลัง จากความพยายามเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนครึ่งแรกไม่มีผิด เพียงแต่คราวนี้พวกเขาทำได้สำเร็จ ประตูเกิดขึ้นจนได้จากความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้

เป็นอีกครั้งที่เครื่องจักรสีแดงพลิกสถานการณ์กลับมามีคะแนนจากที่ในมือนั้นว่างเปล่า

22 คะแนนเข้าไปแล้วที่ลิเวอร์พูลเก็บได้จากสถานการณ์ที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังในฤดูกาลนี้ ถ้านำเอาไปวางเทียบกับ 60 คะแนนที่ทีมเก็บได้ทั้งหมดจะเห็นว่ามันทรงพลังขนาดไหน

คะแนนจากบุคลิกนักสู้ไม่ยอมแพ้นี้มากถึง 1 ใน 3 ของคะแนนที่เก็บได้ทั้งหมด บ่งบอกดีเอ็นเอที่ชัดเจนของลิเวอร์พูล กระทั่งในวันที่ไม่เป็นใจ พวกเขาก็ยังสู้ไม่มีถอย

ครึ่งหลังลิเวอร์พูลยิ่งเร่งเครื่องเอาประตูให้เร็วที่สุด แบร๊ดลี่ย์ กับ โจ โกเมซ ขึ้นมาช่วยเกมรุกมากขึ้นไปอีก ดันสูงขึ้นอีก แต่ประตูก็ยังไม่มาเหมือนเดิม ดิอาซ กับ คักโป ก็ยังส่งบอลเข้าประตูไม่ได้อยู่ดี

จนกระทั่ง ฟาน ไดค์ ขึ้นมาโฉบโหม่งลูกเตะมุมจาก แม็ค อัลลิสเตอร์ ลูกนั้นนั่นแหละ ทุกอย่างก็ "คลิก" และกลับมาเข้าที่เข้าทาง

ประตู 1-1 จาก ฟาน ไดค์ เป็นประตูสำคัญที่สุดจริงๆ มันเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม นาที 56 นั้นหมายความว่าลิเวอร์พูลเหลือเวลาอีกมากมายที่จะทำประตูแซงนำ

แล้วก็เหมือนใครสักคนให้รางวัลตอบแทนความพยายาม จากโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดครึ่งแรกและสิบนาทีเต็มๆ ของครึ่งหลังที่หลุดลอยไปหมด บทจะได้ประตู ลิเวอร์พูลก็ได้มัน 2 ลูกติดๆ กัน

ประตูของ ฟาน ไดค์ เกิดขึ้นในนาที 55.50 ขณะที่ลูกทุ่มจาก แบร๊ดลี่ย์ ให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ตวัดเปิดเข้ากลางแล้ว คักโป โหม่งจ่อๆ ตุงตาข่ายเกิดขึ้นในนาที 57.55

ประตู 1-1 กับ 2-1 ห่างกันแค่ 2 นาทีกับอีก 5 วินาที

แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำ 2 แอสซิสต์และยังคงรักษาผลงานยอดเยี่ยมได้สม่ำเสมอ การกลับมาของ เอนโด ที่เล่นได้เฉียบขาดเช่นกันทำให้กองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่าดันตัวเองขึ้นสูงไปมีบทบาทกับเกมรุกได้มากขึ้น กลายเป็นตัวพิเศษที่หาพื้นที่ป้วนเปี้ยนหน้าเขตโทษหรือทะลุเข้าไปในเขตโทษได้บ่อยครั้ง

แล้วเกมหลังจากนั้นก็เป็นของลิเวอร์พูลแบบเบ็ดเสร็จ.. เหมือนเดิม

ทุกคนรู้ดีว่าสกอร์ 2-1 ยังไม่ปลอดภัย นักเตะหงส์แดงจึงยังไม่ผ่อนสมาธิ ไม่รีรอที่จะบุกต่อเพื่อเอาประตูที่สาม ทว่าระหว่างนั้นคล็อปป์ก็ยังละเอียดรอบคอบพอที่จะเปลี่ยน แบร๊ดลี่ย์ ซึ่งเล่นได้ยอดเยี่ยมเช่นเคยออกท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้อง ส่ง โรเบิร์ตสัน ลงมาเล่นแบ๊กซ้ายแล้วโยก โกเมซ ไปยืนทางขวา

เป็นการเปลี่ยนเพื่อสงวนพลังระเบิดของไอ้หนูวัย 18 ไว้สำหรับเกมชนเชลซีวันอาทิตย์อีกคน

ผมดีใจที่สุดเมื่อประตูของ ดิอาซ มาถึงเข้าจริงๆ ในนาทีที่ 71

ดิอาซคือคนที่ถูกตำหนิมากที่สุดจากคอมเมนต์มากมายในโลกโซเชียลช่วงพักครึ่งจากโอกาสทำประตูที่โยนทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่า บางคนข้ามขั้นตำหนิไปเป็นด่าแบบสาดเสียเทเสียราวกับเขาไม่มีซึ่งคุณค่าใดๆ ทั้งที่ก็แสดงให้เห็นว่าพยายามอย่างที่สุด ไม่เคยย่อท้อ วิ่งห้อไล่บอลทุกจังหวะ ไม่ได้เดินเล่นเอื่อยเฉื่อยหรือไม่ตั้งใจ

ประตู 3-1 ของดิอาซนี้เกิดจากความดุดันไม่พร่องลงไปเลยของลิเวอร์พูล ชิงแย่งบอลหน้าเขตโทษได้ก่อนที่ โรเบิร์ตสัน จะไหลให้ดาวเตะโคลอมเบียดึงจังหวะหลอกกองหลัง เกี่ยวบอลด้วยขวาแล้วยิงด้วยซ้ายเข้าเสาแรก

มันคือประตูปลดล็อกของเขาในค่ำคืนนี้ เขายังเล่นอยู่เพื่อรอประตูนี้นี่แหละและเหมือนคล็อปป์เองก็รู้ ถ้าเขารีบเปลี่ยนตัวดิอาซออกก่อนโดยไม่มีประตูอาจทำให้นักเตะเสียความมั่นใจ เขาเองก็คงลุ้นตัวโก่งไปกับลูกทีมคนนี้ด้วยและน่าจะเป็นคนที่ปรารถนาจะเห็นดิอาซทำประตูในเกมนี้มากที่สุดอีกคน

คงเช่นเดียวกับคุณพ่อของดิอาซที่ยืนปรบมือยิ้มแป้นอยู่บนอัฒจันทร์หลังเห็นลูกชายทำประตูได้สำเร็จ..

การลงสนามของ แม็คคอนเนลล์ กับ เจย์เดน แดนน์ส ในนาทีที่ 89 น่าสนใจไม่น้อย กับแม็คคอนเนลล์เราได้เห็นผลงานของเขามาแล้วในเกมเอฟเอ คัพกับ นอริช ซิตี้ แต่รายของ แดนน์ส นั้นยังไม่เคย นี่คือชื่อที่ 39 และเป็นนักเตะดาวรุ่งคนที่ 10 เข้าไปแล้วที่ คล็อปป์ ใส่ชื่อในเกมก่อนแข่งฤดูกาลนี้

แดนน์สคือสเกาเซอร์ เกิดและโตที่เมืองลิเวอร์พูล เข้าสู่อะคาเดมี่ของสโมสรตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ ปัจจุบันอายุ 18 ปี เล่นในตำแหน่งกองหน้า

ปกติเป็นตัวสำรองของ ลูอิส คูมาส แต่ฤดูกาลนี้ระเบิดฟอร์มถล่มประตูให้เห็น ยิง 21 ลูกจากการเล่นในทีมชุดอายุไม่เกิน 18 ปีและบางเกมไปเล่นร่วมกับทีมชุดอายุไม่เกิน 21 ปี

มีการเปรียบเทียบว่าสไตล์การเล่นของ แดนน์ส เป็นลักษณะแบบ แฮร์รี่ เคน คือปักหลักเป็นกองหน้าตัวเป้าก็ได้เพราะยิงประตูดี แต่ก็มีเทคนิค ทักษะฟุตบอลที่ดี มีเซนส์เกมรุกสูง ให้บอลดี จึงถอยลงมาเล่นเป็นตัวสร้างสรรค์เกมก็ได้

การเติบโตแบบก้าวกระโดดตัวยืดขึ้นเกือบหนึ่งฟุต (30 เซนติเมตร) ตอนที่เล่นอยู่กับทีมชุดอายุไม่เกิน 16 ปีทำให้หน่วยก้านของ แดนน์ส คล้ายกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ อีกคน

จังหวะพลิกบอลก่อนดีดด้วยข้างเท้าด้านนอกให้ คักโป หลุดเข้าเขตโทษในช่วงทดเวลาก่อนที่บอลจะทะลักมาถึง เอลเลียตต์ ยิงฝัง 4-1 คืออย่างนั้นเลย เป็นแบบที่มีการเปรียบเทียบเลย นั่นคือเป็นลักษณะการเล่นของเคนและฟีร์มิโน่ที่มักจะทำให้เห็นบ่อยๆ

เกมเมื่อคืนนี้ถ้า แดนน์ส ทำประตูได้เขาจะกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดเป็นอันดับสามที่ยิงให้ลิเวอร์พูลแซงหน้า สเตฟาน บายเซติช

อันดับหนึ่ง ไมเคิ่ล โอเว่น 17 ปี 143 วัน.. อันดับสอง ราฮีม สเตอร์ลิง 17 ปี 317 วัน ส่วน แดนน์ส อายุ 18 ปี กับอีก 36 วัน

กลายเป็นว่าในวันที่ดาร์วินกับซาลาห์ไม่มีชื่อลงสนาม เดอะค็อปกลับได้รู้จักเด็กหนุ่มที่เป็นอนาคตของทีมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน สมทบเพิ่มขึ้นไปจากคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้อีกหลายคน

สามคะแนน.. แซงชนะ.. ทิ้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4 แต้ม หนีอาร์เซน่อล 5 แต้ม และได้ผลักดันดาวดวงใหม่อีกคนขึ้นมาสัมผัสสนาม เป็นอนาคตของทีมก้าวสู่วันข้างหน้า

ครึ่งแรกอาจอึดอัดและพาให้กังวล แต่ฟุตบอลเตะ 2 ครึ่งเวลา และสุดท้ายแล้วมันก็ไม่แย่หรอก ไม่แย่เลย มันยังคงดีด้วย

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport