ฤดูกาลนี้ยังอยู่ในมือลิเวอร์พูล

มีไม่บ่อยนักที่ 3 ทีมลุ้นแชมป์ลงเตะในวันเดียวกัน ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันไป

ลิเวอร์พูลเตะทุ่มครึ่ง อาร์เซน่อลเตะสี่ทุ่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้เตะเที่ยงคืนครึ่ง

เตะก่อน ชนะก่อน ได้เปรียบก่อน แต่ในอีกทางหนึ่งถ้าเตะก่อน แล้วชนะไม่ได้ ความเสียหายก็อาจเกิดขึ้นเหมือนกัน

ก่อนไปเยือนเบรนท์ฟอร์ด ลิเวอร์พูลมี 54 คะแนน นำอาร์เซน่อลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ 2 แต้ม ตำแหน่งจ่าฝูงมีโอกาสสั่นคลอนหรือกระเด็นหลุดไปได้เลยถ้าผลการศึกออกมาไม่เป็นใจ

และการไปเยือนทีมอย่างเบรนท์ฟอร์ด.. ไม่เคยเป็นงานง่าย นับตั้งแต่ทีมผึ้งพิฆาตเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งในรอบ 74 ปีเมื่อ 3 ฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูลเก็บได้แค่คะแนนเดียวเท่านั้นจากการไปเยือนถิ่นไวทัลลิตี้ 2 หน

เบรนท์ฟอร์ดของ โธมัส แฟร้งค์ เล่นอย่างรัดกุมปิดพื้นที่ไม่ให้ลิเวอร์พูลได้เล่นสะดวกตลอดครึ่งแรก เข้าหาบอลเพิ่มความกดดัน อ่านจังหวะตัดเกมแย่งบอลแล้วโจมตีกลับอย่างรวดเร็วด้วยลูกโต้

แนวรับยืนกัน 5 คน แผงกองกลางอีก 3 และกองหน้าอีก 2 ทั้ง นีล โมปาย และ ไอแวน โทนี่ย์ ช่วยกันยามป้องกัน สำคัญคือทุกคนรู้หน้าที่ตัวเองดีว่าเมื่อตัดบอลได้หรือลิเวอร์พูลส่งบอลกันผิดพลาดแล้วแต่ละคนจะต้องทำอะไรบ้าง

เกมตอบโต้ของเจ้าบ้านวูบวาบทีเดียวในครึ่งแรก เป็น 45 นาทีที่น่าอึดอัดสำหรับทีมที่ต้องการสามคะแนนอย่างหงส์แดง

เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดตัวลงสนามแบบไม่มีอะไรผิดคาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เพิ่งกลับมาฟิตสมบูรณ์นั่งข้างสนามไปก่อน ดีโอโก้ โชต้า หลุยส์ ดิอาซ และ ดาร์วิน นูนเญซ ประสานงานในแดนหน้า เคอร์ติส โจนส์ วาตารุ เอนโด และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ขับเคลื่อนเกมตรงกลาง

คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ปักหลักแบ๊กขวา-ซ้าย เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อิบราฮิมา โกนาเต้ ยืนเซนเตอร์แบ๊ก ส่วนนายประตู ควีวิน เคลเลเฮอร์ เฝ้าเสาแทน อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่เจ็บ

ไม่มีตำแหน่งไหนหรือคนไหนให้แฟนบอลต้องเลิกคิ้วสงสัยว่ามาได้อย่างไร

เบรนท์ฟอร์ดเล่นอย่างมีวินัย เกมโต้ที่ขู่ได้สร้างความตึงเครียดให้ลิเวอร์พูลพอสมควร การผ่านบอลแต่ละครั้งจึงต้องพยายามให้แน่นอนที่สุด เสี่ยงมากเกินไปไม่ดีแน่ในช่วงที่เจ้าถิ่นกำลังสดชื่น

กระนั้นความเด็ดขาดก็ยังเป็นข้อแตกต่าง ฟรีคิกของเบรนท์ฟอร์ดที่โยนเข้าเขตโทษแล้วถูก ฟาน ไดค์ เตะสกัดจุดพลุไปถึงกลางสนามกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลิเวอร์พูลได้ประตูขึ้นนำ

ขณะที่บอลลอยโด่งกำลังจะตกลงมา โชต้าวิ่งเบียดไปกับ เซร์คิโอ เรกีลอน ความยอดเยี่ยมในจังหวะนี้ก็คือเขาคิดข้ามขั้นไปแล้วเมื่อเห็นตัวเลือกเพิ่มเข้ามานั่นคือ ดาร์วิน นูนเญซ ที่วิ่งควบขึ้นมาด้วยความเร็ว

ระหว่างที่เรกีลอนเตรียมความพร้อมรอดวลตัวต่อตัวในทันทีที่โชต้าเอาบอลลง อาจเตรียมสกัดบอล เตะทิ้ง หรือเข้าปะทะด้วยหัวไหล่ แต่ดาวเตะโปรตุกีสไม่รอให้ถึงตอนนั้น เขาเลือกโหม่งสะกิดบอลไปยังพื้นที่ว่างที่ ดาร์วิน จะวิ่งมารับได้พอดี

สมองล้วนๆ กับการเล่นจังหวะนี้ของโชต้า

ส่วน ดาร์วิน ที่หลุดเดี่ยวทันทีจากไหวพริบของเพื่อนก็จบสกอร์ได้อย่างเยือกเย็นและมั่นใจ เลือกตักบอลข้ามหัว มาร์ค เฟลกเค่น ด้วยน้ำหนักเหมาะเจาะ ช่วงหลังๆ มานี้หัวหอกอุรุกวัยแสดงความมั่นใจออกมาให้เห็นเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีอาการร้อนรนในวินาทีเข้าด้ายเข้าเข็มให้เห็นอีกแล้ว

มันเป็นประตูสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลปิดครึ่งแรกด้วยการมีประตูขึ้นนำ อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเมื่อต้องกลับมาเล่นกันต่อในครึ่งหลัง

เรื่องน่ายุ่งยากใจคือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นอย่างโชคร้ายกับ เคอร์ติส โจนส์ (ข้อเท้า) และ โชต้า (หัวเข่า) ทั้งสองคนต้องรอตรวจอาการอย่างละเอียดอีกครั้งและหวังว่าจะไม่เจ็บหนัก

ดาร์วินเป็นอีกคนที่ต้องถูกเปลี่ยนตัวออก การส่ง โกดี้ คักโป ลงมาแทนเขาตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังโดยที่ผลงานครึ่งแรกไม่มีอะไรแย่คงไม่ใช่การเปลี่ยนเพื่อแท็กติก มีการเปิดเผยว่าเขารู้สึกไม่สู้ดีนักและคล็อปป์ก็ตัดสินใจไม่เสี่ยง

เกมในครึ่งหลังเป็นอีกภาพหนึ่ง ลิเวอร์พูลเล่นง่ายขึ้นด้วยเบรนท์ฟอร์ดต้องแลกกว่าเดิมเพื่อเอาประตูคืน และเริ่มมีพื้นที่ด้านหลังเปิดให้

บอลยาวจาก ฟาน ไดค์ และ โกนาเต้ ที่สลับกับบอลสั้นเริ่มโจมตีอีกฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จังหวะที่ ซาลาห์ ซึ่งลงมาแทน โชต้า ตั้งแต่ท้ายครึ่งแรกได้บอลหลุดจากการวางยาวเข้าไปแตะหนีกองหลังก่อนจะยิงไม่ถนัดเพราะเข้าเท้าขวาเป็นสัญญาณเตือนเบรนท์ฟอร์ดว่าถ้าเปิดพื้นที่ให้ก็ระวังถูกลงโทษ

มิติเกมรุกของลิเวอร์พูลดูดีทีเดียว นอกจากบอลสั้นสลับยาวแล้วยังมีการพาบอลไปกับตัวของ โชต้า ในครึ่งแรกและ ซาลาห์ ในครึ่งหลังที่ทำได้น่ากลัวทั้งคู่เป็นมิติแทรกเข้ามาตีโซนเกมรับของฝ่ายตรงข้ามให้กระเจิงอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีวิธีการเล่นของ แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ แบร๊ดลี่ย์ ที่เข้ามาเพิ่มเติมให้เกมบุกหลากหลายขึ้นไปอีกซึ่งจะเป็นเรื่องที่กล่าวถึงต่อไป

เกมรับของเบรนท์ฟอร์ดไม่แน่นหนาเหมือนครึ่งแรก พยายามดันเกมขึ้นมาสู้และเสียบอลให้ลิเวอร์พูลบ่อย ที่สำคัญเมื่อเสียแล้วถูกลงโทษ ประตู 2-0 ก็มาจากการเปิดบอลขึ้นมาแล้วถูก เอนโด ชิงโหม่งได้ ไรอัน กราเฟนแบร์ค สะกิดต่อให้ ซาลาห์ ไหลไปถึง แม็ค อัลลิสเตอร์ สังหารเข้าไป

การผ่านบอลที่มีคุณภาพของซาลาห์ก็เรื่องหนึ่ง แต่การพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งพร้อมเข้าทำของ แม็ค อัลลิสเตอร์ คือเรื่องน่าสนใจ เกมนี้มิดฟิลด์อาร์เจนไตน์หาโอกาสขยับขึ้นสูงไปถึงหน้าเขตโทษเบรนท์ฟอร์ดหลายครั้ง เป็นการเพิ่มตัวเลือกพิเศษให้ทีมยามพาบอลเข้าถึงแดนสาม และมันก็ตอบแทนเขาด้วยประตูนี้

อีกคนหนึ่งที่ผมสังเกตวิธีการเล่นคือแบร๊ดลี่ย์

เกมนี้แบ๊กขวาดาวรุ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นแบ๊กที่วิ่งขึ้น-ลงรับผิดชอบริมเส้นและเมื่อสบโอกาสก็ตัดเข้าในเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถตอบสนองความต้องการทางแท็กติกของคล็อปป์ที่นำมาใช้กับลิเวอร์พูล 2.0 ได้ด้วยนั่นคือการขยับเข้ามาเล่นกองกลางเป็น inverted fullback

ครึ่งแรกยังไม่เห็นบทบาทนี้ชัดนัก มีเพียงบางครั้งที่เมื่อ โชต้า หรือ แม็ค อัลลิสเตอร์ ฉีกไปยืนชิดริมเส้นทางขวาให้ แบร๊ดลี่ย์ ก็จะขยับเข้ามาเล่นตรงกลาง เป็นตัวเชื่อม ตัวรับบอล และเป็นอาวุธเพิ่มเติมป่วนเกมป้องกันเบรนท์ฟอร์ด

ครึ่งหลังยิ่งเห็นบทบาทกองกลางของไอ้หนูคอเนอร์ชัดขึ้น เขาเล่นแบบที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เล่นเลยนั่นคือขยับมาช่วยแดนกลางยามตั้งเกมบุก ยังคงมีความมั่นใจและหาโอกาสให้ตัวเองอยู่ตลอด โดยเฉพาะการทะลุขึ้นมารับบอลจากกลางสนามจนได้สับไกยิงหน้าเขตโทษในช่วงหนึ่งชั่วโมงของเกม

ในเชิงของเกมรุกเราจึงได้เห็นความหลากหลายในวิธีการเข้าทำของลิเวอร์พูล ยังไม่รวมการเล่นลูกตั้งเตะที่ได้ลุ้นประตูเกือบทุกครั้ง

เอนโดเองก็ยืนตำแหน่งได้ดี อยู่ในแทบจะทุกที่ทุกเวลาที่ควรอยู่ การมีเขายืนเบอร์ 6 แล้วดัน แม็ค อัลลิสเตอร์ ขึ้นไปเล่นเบอร์ 8 คือโมเดลที่น่าจะเหมาะสมที่สุดกับคุณภาพของทั้งสองคนแม้ว่าระยะหลังแม็ค อัลลิสเตอร์ จะทำได้ดีมากๆ กับตำแหน่งหมายเลข 6 ก็ตาม

สกอร์มาขาดลอยเอาด้วยจังหวะเผลอของเบรนท์ฟอร์ด บอลยาวจากเคลเลเฮอร์ให้คักโปโหม่งเช็ดตกพื้นที่ว่างด้านหลัง กองหลัง 2 คนของเจ้าถิ่นลังเลเงอะงะแค่นิดเดียวกลายเป็นเปิดโอกาสทองให้ซาลาห์ชิงเอาบอลไปเล่นทันที

จังหวะจบสกอร์ของซาลาห์ก็เด็ดขาดเช่นกัน เขาเอาชนะการดวลกับ เนธาน คอลลินส์ ได้ด้วยเทคนิค ความเร็ว การทรงตัวที่ดีเยี่ยมและด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเพราะแตะบอลจังหวะแรกไปเข้าเหลี่ยมกองหลังทีมชาติไอร์แลนด์ด้วยซ้ำ

เคลเลเฮอร์เองก็มีการป้องกันประตูที่ยอดเยี่ยมให้เห็น 2-3 ครั้งในเกมนี้ กระทั่งลูกตีไข่แตกของเบรนท์ฟอร์ด นายด่านไอริชก็ยังทิ้งตัวปัดบอลแรกได้อย่างรวดเร็วก่อนถูก ไอแวน โทนี่ย์ ซ้ำผ่านมือ ซึ่งจังหวะนี้ต้องชมความพยายามของเบรนท์ฟอร์ดที่หาช่องเจาะเข้าทำจนได้

แต่ลิเวอร์พูลก็เก็บความผิดพลาดมาตั้งหลักได้เร็ว หลังเสียประตูให้เจ้าบ้านนักเตะหงส์แดงไม่ปั่นป่วน ปิดพื้นที่ให้คู่แข่งออกบอลยาก รักษาระยะห่างของช่องว่างระหว่างแนวและตำแหน่งการยืนดีขึ้น รอดักบอลไม่ยอมพลาดให้อีก

ภาพการสกัดวืดวาดของคอลลินส์จากบอลยาวของ โจ โกเมซ ในประตูที่ 4-1 คือภาพที่เคยเกิดขึ้นเป็นพักๆ กับลิเวอร์พูลเหมือนกัน แต่วันนี้มันมาเกิดขึ้นกับเบรนท์ฟอร์ด และพวกเขาก็ถูกจ่าฝูงลงโทษแบบไม่ให้แก้ตัว

ประตู 0-3 กับ 1-4 คือสองประตูจากความผิดพลาดของตัวเองที่ถูกลิเวอร์พูลลงโทษ มันฝังกลบความหวังของเบรนท์ฟอร์ด ไปด้วย

ลิเวอร์พูลทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่พลาด เตะก่อน ชนะก่อน โยนความกดดันไปให้ทีมที่ลงสนามทีหลัง โอเค อาร์เซน่อลอาจเอาตัวรอดได้สบายๆ ที่เทิร์ฟมัวร์แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หกล้มในเอติฮัด สเตเดี้ยม ก็ถือเป็นกำไรของ เยอร์เก้น คล็อปป์ และทีมของเขาแล้ว

ผ่านนัดที่ 25 ไปได้อย่างสวยงาม ยังเหลืออีก 13 เกมให้เตะ ฤดูกาลนี้ยังอยู่ในมือลิเวอร์พูล มันยังสนุกได้อีกมากและได้ลุ้นกันไปยาวๆ แน่นอน

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport