ลิเวอร์พูล : คอเนอร์ แบรดลี่ย์ อีกหนึ่งตัวอย่างเรื่องหลังบ้านที่เราไม่เคยรู้

มาถึงตอนนี้เราจึงเข้าใจว่าเพราะอะไร..

พราะอะไร เยอร์เก้น คล็อปป์ ถึงเฉยเมยหรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนไม่สนใจกับเสียงเรียกร้องและความวิตกกังวลอย่างหนักช่วงซัมเมอร์เรื่องการไม่ยอมซื้อแบ็กขวา

เหลือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่คนเดียวยังไม่ซื้อใครมาเพิ่มอีกหรือ เทรนต์เองก็โดนเจาะเป็นประจำทำไมถึงยังไม่ทำอะไรเลย คิดจะใช้ โจ โกเมซ เป็นตัวเสริมของเทรนต์จริงๆ น่ะนะ มองไม่ออกเลยเหรอว่ามันเล่นไม่ได้

ถ้าเราจะลองย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง บรรยากาศก็เป็นอย่างนี้จริงๆ

สารพัดสารพันความกังวล เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับแฟนบอลที่อยากเห็นรูโหว่ทุกรูถูกอุด

แต่เราก็ได้เข้าใจเขาแล้วจริงๆ ว่าเพราะอะไร..

เพราะจากอะคาเดมี่ของทีมมีเด็กที่มีแววว่าจะพร้อมแล้วสำหรับการขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ บางทีอาจเป็นในฤดูกาลนี้ก็ได้ หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองได้อย่างงดงามที่ โบลตัน วันเดอเรอร์ส

ถามว่าเรารู้จัก คอเนอร์ แบรดลี่ย์ มาก่อนไหม.. บางคนอาจรู้จัก บางคนอาจไม่รู้จัก หลายคนรู้ว่าเขาเป็นกองหลังดาวรุ่งอยู่ในทีมเยาวชนของสโมสร

รู้เพียงเท่านั้น อาจจะมีแค่บางคนที่รู้มากหน่อยเพราะเกาะติดทีมอย่างจริงจังทั้งชุดใหญ่และชุดเล็ก แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่ไม่รู้ ไม่ได้ติดตาม หรือไม่เคยได้ยินชื่อเขาด้วยซ้ำ

ในเวลาที่เราพร่ำบ่นถึงความอ่อนแอของตำแหน่งแบ็กขวา เพราะเปรียบเทียบแล้วไม่มีตัวแทนชัดเจนเท่าด้านซ้ายที่ยังมี คอสตาส ซิมิกาส คอยสำรอง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แทบไม่มีใครสนใจหรือกระทั่งรู้ว่าผลงานของแบรดลี่ย์นั้นพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนน่าจับตามองเพียงใด

ในฤดูกาล 2022/23 หรือซีซั่นที่แล้วที่เขาถูกปล่อยไปโบลตันด้วยสัญญายืมตัว แบรดลี่ย์ จัด 3 แอสซิสต์ให้เพื่อนตั้งแต่เกมอุ่นเครื่องนัดแรกที่ลงเล่น และเกมนั้นเขาเพิ่งถูกส่งลงสนามในครึ่งหลัง

ไม่มีใครสนใจเด็กหนุ่มดาวรุ่งอายุไม่ถึง 20 ปีที่ถูกส่งไปเล่นในระดับลีกวันหรอก แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ กับทีมงานของเขาไม่สนใจไม่ได้เพราะมันเป็นงานของพวกเขา

ฉะนั้นในขณะที่เราไม่รู้เลยว่า แบรดลี่ย์ ท็อปฟอร์มแค่ไหนกับเดอะทร็อตเตอร์ส ข้อมูลทุกอย่างของเด็กหนุ่มคนนี้เข้าสู่สายตาของคล็อปป์ เป๊ป ไลน์เดอร์ส ปีเตอร์ คราเวียส วิเตอร์ มาตอส และทีมงานของเขา

เช่นเดียวกับข้อมูลและผลงานของเด็กเยาวชนอีกหลายคนที่มีแวว ชื่ออย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์, เจมส์ แม็คคอนเนลล์, โอเว่น เบ็ค, เบน โด๊ค, บ๊อบบี้ คล้าร์ก ฯลฯ ที่เราย่อมไม่สนใจเท่าชื่อกองหลังระดับโลก กองกลางระดับโลก กองหน้าระดับโลก

แน่นอน มันเป็นเรื่องธรรมดาของเราแฟนบอล เราคุ้นเคยกับชื่อเสียงของนักเตะข้างนอกที่สำเร็จรูปแล้ว มากกว่าพัฒนาการของดาวรุ่งที่ยังมองไม่เห็นอนาคตชัดเจน

แต่เราด่วนตัดสินการทำงานของคนที่อยู่ใกล้ชิดกับทีมที่สุดเกินไปหรือเปล่า เพียงแค่ไม่ซื้อคนที่เราอยากให้ซื้อ บางคนก็บ่นก็ด่าและปรามาสเขาเสียแล้วว่าไม่รู้หรือมองไม่เห็นปัญหาที่คนทั้งโลกเห็น

มันก็ตลกดีนะครับ

ย้ำอีกครั้งว่าการวิจารณ์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การปล่อยให้ความเผ็ดร้อนของอารมณ์หงุดหงิดหรือไม่ได้ดังใจนำพามาซึ่งการใช้ถ้อยคำดูถูกดูแคลนสติปัญญาของอีกฝ่าย ดูถูกดูแคลนการทำงานของคนทำงาน ดูถูกดูแคลนคนที่ก้มหน้าก้มตาพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่ามีเหตุผลหรือยุติธรรมเลย

มีใครรู้บ้างว่า แบรดลี่ย์ ได้รับการจับตามองมากขนาดไหน โบลตันเป็นเพียงทีมระดับลีกวันก็จริง แต่เด็กวัย 19 ที่ลงเล่นทุกถ้วยทุกรายการ 53 เกม พาทีมเข้ารอบเพลย์ออฟลุ้นเลื่อนชั้น ยิง 7 ประตู จ่ายอีก 6 ลูก กวาดรางวัลยอดเยี่ยมทุกสถาบันของสโมสร ทั้งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี จากทั้งการโหวตของแฟนบอลและของเพื่อนร่วมทีมคงไม่ธรรมดากระมัง

โบลตันอยากยืมต่อใจจะขาด แต่คล็อปป์เซย์โน ถ้าเขาปล่อยให้เด็กคนนี้ไปเล่นทีมอื่นอีกหนึ่งปี เขาต้องถูก ไลน์เดอร์ส กับ มาตอส ที่คอยพูดกรอกหูสองข้างของเขาทุกวันถึงพัฒนาการและความยอดเยี่ยมของเด็กคนนี้เอาตายแน่ๆ

ก็เขาเป็นคนพูดอย่างนั้นเอง

นั่นคือเรื่องหลังบ้านที่เราไม่เคยรู้ เรื่องในห้องทำงานของคล็อปป์ที่เราไม่เคยรู้ เรื่องการประสานงานข้อมูลภายในสโมสรที่เราไม่เคยรู้

แฟนบอลไม่รู้ข้อมูลเหล่านี้หรอกครับ แน่นอนคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่คนไม่รู้แล้วทำตัวเหมือนรู้ ชี้นิ้วสั่งทุกสิ่งอย่างว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนี้อย่างนู้นเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ปรามาสคนหน้างานว่าไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ทั้งที่ความเข้าใจของตัวเองนั้นผิวเผินมากคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกเช่นกัน

ผมพูดแบบนี้ก็เพราะเห็นคอมเมนต์ลักษณะนี้มาตลอด หลายครั้งอดเห็นใจคนที่ตกเป็นเป้าโจมตีไม่ได้ คำพูดบางคำพูดรุนแรง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ผมคิดว่าการวิจารณ์ของเราควรเป็นการเสนอความเห็นและมุมมองส่วนตัวในแบบที่ไม่ทำร้ายคนอื่นและไม่ดูถูกความคิดคนอื่น รวมทั้งการเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก

เห็นไม่เหมือนกันคงไม่ผิด เสนอมุมมองอีกด้านก็ไม่ผิด การวิจารณ์ก็เช่นกัน ทำได้ ไม่ผิด แต่การแสดงออกที่เหมาะสม ใช้คำพูดที่มีวุฒิภาวะ ไม่เอาความคิดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางแล้วมองความเห็นแตกต่างผิดหมดนั้นจะย่อมก่อเกิดสังคมการพูดคุยที่สร้างสรรค์มากกว่า

ผมแค่หยิบยกเรื่องของการซื้อแบ็กขวามาเป็นตัวอย่าง คอเนอร์ แบรดลี่ย์ คือคำตอบที่ดีเหลือเกินในเรื่องนี้ ด้วยมันเป็นอีกครั้งที่ คล็อปป์ ตอบคำถามมากมายด้วยการแสดงให้เห็นว่าเขาคือคนที่รู้จักทีมนี้ดีที่สุด

ณ เวลานี้ แบรดลี่ย์ เหมือนเป็นแบ็กขวาคนใหม่ค่าตัว 12 ล้านปอนด์.. 4 เกมหลังสุดยิง 1 จ่าย 5 ถ้าพัฒนาการของเขายังเป็นกราฟพุ่งขึ้นไม่หยุดอย่างนี้ จาก 12 ล้านปอนด์ที่ผมประเมินแบบลวกๆ ในตอนนี้อาจกลายเป็น 30 ล้านปอนด์เมื่อจบฤดูกาล และในปีถัดๆ ไปลิเวอร์พูลอาจมีผลผลิตจากทีมอะคาเดมี่คนนี้ที่ประหยัดเงินให้สโมสรไปได้ 60 ล้านปอนด์หรือมากกว่านั้น

เพราะแนวทางการถือกำเนิดขึ้นของ แอ๊กซ่า เทรนนิ่ง เซนเตอร์ ที่เริ่มเปิดใช้งานเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2020 เอื้อให้เกิดคุณประโยชน์นี้ ลิเวอร์พูลคล้ายกำลังเก็บเกี่ยวดอกผลของการนำทีมทุกชุดมาซ้อมในพื้นที่เดียวกัน (ยกเว้นทีมหญิงไปซ้อมที่เมลหวูด สนามซ้อมเก่าของทีมชุดใหญ่ซึ่งสโมสรซื้อที่กลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง) ได้มองเห็นกันใกล้ชิด สื่อสารง่าย ประสานงานง่ายโดยเฉพาะการนำเด็กดาวรุ่งมาร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่

โอกาสเปิดกว้างขึ้นกว่าเดิมที่ซ้อมกันคนละที่มาก และในฤดูกาลนี้เราได้เห็น ควอนซาห์ แบรดลี่ย์ แม็คคอนเนลล์ คล้าร์ก ที่ขึ้นมามีบทบาท กลายเป็นอนาคตของทีม

เส้นทางยังอีกยาวไกล ยังมีอุปสรรคขวากหนามให้พวกเขาต้องฝ่าฝันอีกมาก สิ่งที่พวกเขาจะต้องเจอแน่ๆ ก็คือคำวิจารณ์อันหนักหน่วงแบบไม่ปราณีที่คนกลุ่มหนึ่งจะมีให้ยามพวกเขาล้ม นั่นเป็นเรื่องจริงแท้ของชีวิตนักฟุตบอล

ไม่ต้องอะไรมาก เกมกับอาร์เซน่อลคืนนี้ถ้า แบรดลี่ย์ ได้ลงสนามไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรองแล้วทำผิดพลาด คำพูดประเภท "เป็นไงล่ะ อวยกันไว้เยอะ" ก็จะกลับมา

เราโหดร้ายต่อกันมากขนาดนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ยังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีกมากมายในอนาคต เขายังจะต้องเจอกับอะไรอีกมาก ทั้งเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี มันจะลงเอยอย่างไรไม่รู้ เราได้แต่เป็นกำลังใจให้พวกเขาผ่านมันไปได้อย่างถูกต้องและมั่นคง

สำหรับ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ผมเห็นข้อมูลครั้งแรกก็ยังไม่อยากเชื่อ

เขาคือนักเตะชาวไอร์แลนด์เหนือคนแรกในรอบ 67 ปีที่ได้ลงเล่นเกมแข่งขันอย่างเป็นทางการให้กับลิเวอร์พูลต่อจาก แซมมี่ สมิธ อดีตกองหน้าในยุคฟิฟตี้ส์ (เล่น 44 นัด ยิง 20 ประตู)

มันเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2021 หลังจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ ใส่ชื่อแบ็กขวาดาวรุ่งลงสนามในเกม ลีก คัพ ที่พบกับ นอริช ซิตี้

วันนั้นไอ้หนูแบรดลี่ย์เพิ่งจะมีอายุ 18 ปีกับอีก 43 วัน

ฤดูกาลนั้น 2021/22 เด็กหนุ่มจากหมู่บ้าน Aghyaran เมืองคาสเทิลเดิร์ก ทางฝั่งตะวันตกเกือบสุดของไอร์แลนด์เหนือ ข้ามไปอีกนิดก็ไอร์แลนด์แล้ว ที่เดินทางจากบ้านเกิดมาร่วมทีมอะคาเดมี่ของสโมสรตั้งแต่ปี 2019 มีส่วนร่วมในการทัวร์ปรีซีซั่นของคล็อปป์ด้วย ได้ลงเล่นในเกมเจอสตุ๊ตการ์ทและโอซาซูน่า ก่อนที่เกมประเดิมสนามในชุดหงส์แดงจะมาถึงในอีกเพียง 2 เดือนให้หลัง

แต่แน่นอน สำหรับทีมชุดใหญ่แล้ว เขายังไม่สุกงอมพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกหรือคุกคามตำแหน่งของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทว่าคล็อปป์มองเขาเป็นอนาคตของทีมและอยู่ในสายตาตลอด ก่อนที่ผลงานตลอดฤดูกาล 2022/23 กับโบลตันจะการันตีฝีเท้าของเขาว่ามีแววไปได้ต่อแน่

กระทั่งโอกาสมาถึงในที่สุด แล้วเขาก็คว้ามันเอาไว้ได้เต็มสองมือ ใน 11 วันที่เปลี่ยนชีวิตเขา นับจากทำ 1 แอสซิสต์เกมถล่ม บอร์นมัธ 21 มกราคม เล่นเต็มเกมในลีกคัพที่เสมอฟูแล่ม 24 มกราคม ทำอีก 2 แอสซิสต์เกมยำใหญ่นอริช ซิตี้ ในเอฟเอ คัพ 28 มกราคม และยิง 1 จ่าย 2 ในเกมอัดเชลซี 31 มกราคม

11 วัน 4 เกม 1 ประตู 5 แอสซิสต์..

ผมคิดว่าการแจ้งเกิดเต็มตัวของแบรดลี่ย์ในฤดูกาลนี้มี 2-3 เหตุผลประกอบกัน

1 การบาดเจ็บของ เทรนต์ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ ซิมิกาส 

2 ความใกล้ชิดกับทีมชุดใหญ่ภายในแอ๊กซ่า เทรนนิ่ง เซนเตอร์

3 ความสามารถของเขาเอง

การลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นเรื่องยากกว่าเกมระดับเยาวชนหรือลีกวันแบบเทียบกันไม่ได้ แต่ แบรดลี่ย์ ก็แสดงให้เห็นถึงความเติบโตเต็มที่ แข็งแกร่งในเรื่องสภาพจิตใจ รับมือกับแรงกดดันได้เป็นอย่างดี

จะพูดว่าไม่มีที่ติก็คงได้ เพราะเขาเล่นได้นิ่งดีจริงๆ ไม่มีตื่นเต้นลนลานอย่างที่เด็กใหม่สักคนควรจะเป็นเมื่อต้องลงสนามต่อหน้ากองเชียร์เหยียบหกหมื่นคนในแอนฟิลด์

ยังคงรับผิดชอบเกมรับและเติมเกมรุกในจังหวะที่เหมาะสม การตัดสินใจยอดเยี่ยมไม่ผิดพลาด เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน

แต่การจะได้โอกาสแสดงศักยภาพออกมาอย่างนี้ก็ต้องมีจุดส่งเสริมอยู่ด้วยเช่นกัน การบาดเจ็บของ เทรนต์ โรเบิร์ตสัน และ ซิมิกาส ทำให้โอกาสมาถึงเขาเร็วขึ้น

ปกติแล้วถ้าเทรนต์เจ็บ โกเมซจะยืนแบ็กขวาแทน ส่วนอีกฝั่งถ้าโรเบิร์ตสันเจ็บ ซิมิกาสก็จะเล่นแบ็กซ้ายแทน

แต่เมื่อทั้ง 3 คนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน โกเมซจึงต้องย้ายข้ามไปเล่นแบ็กซ้ายแทนโรเบิร์ตสัน และแน่นอนตำแหน่งแบ็กขวาจึงตกเป็นของแบรดลี่ย์

องค์ประกอบอีกข้อคือความใกล้ชิดระหว่างทีมเยาวชนกับชุดใหญ่ที่ซ้อมในศูนย์ฝึกแอ๊กซ่า เทรนนิ่ง เซนเตอร์ ด้วยกัน ความไว้วางใจที่มีต่อเด็กดาวรุ่งจะยิ่งมีน้ำหนักขึ้นมาก อยากจะดึงใครมาซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ก็ทำได้ทันที

ใกล้หูใกล้ตาผู้จัดการทีมมากกว่าแต่ก่อนที่ซ้อมกันคนละที่ ชุดใหญ่ซ้อมที่เมลหวูด ชุดเล็กซ้อมที่เคิร์กบี้

เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลในสิ่งที่กำลังเป็นไปทั้งสิ้น

เสียงเพลง There's only one Conor Bradley คงจะยังดังก้องในโสตประสาทของเด็กหนุ่มจากไอร์แลนด์เหนือ เขาบอกว่ามันเป็นเหมือนความฝัน

ความฝันที่เป็นความจริง และหลังจากนี้ชีวิตของเขาจะเผชิญหน้ากับโลกแห่งความจริงมากขึ้น

ที่โบลตัน แฟนบอลเดอะทร็อตเตอร์สเรียกเขาว่า "Castlederg Cafu" หรือ คาฟูแห่งคาสเทิลเดิร์ก

คอเนอร์ แบรดลี่ย์ จะไปถึงระดับของตำนานคนที่เขาถูกนำไปเปรียบเทียบไหมคงยังไม่ใช่เรื่องที่จะคุยกันจริงจังในตอนนี้ แต่ที่แน่ๆ เขาคือการค้นพบแห่งฤดูกาลของลิเวอร์พูล

ที่สำคัญและน่าภาคภูมิใจ มันคือการค้นพบอย่างมีขั้นตอน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ..

ป.ล. บางทีชีวิตก็โหดร้ายเหลือเกินนะครับ โจ แบรดลี่ย์ คุณพ่อของคอเนอร์ เพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยคอเนอร์ก็คงทำให้คุณพ่อของเขาได้ภูมิใจที่สุดจากความฝันอันบรรเจิดของเขา

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport