เรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเสมอ

พลันที่รายชื่อถูกประกาศออกมา เกมก็ถูกตัดสินเรียบร้อยจากบางคน..

เละแน่

จัดตัวอย่างนี้ได้ยังไง

คิดอะไรอยู่

นอนดีกว่ามั้ง

โคตรขัดใจ

ขวาผ่านตลอด

ท่านรอง กับ เจ้าจุก โอย.. ตายๆๆ

เอาเจมส์กับเอลเลียตต์ลงพร้อมกันเนี่ยนะ

ทำไมไม่เอาแนทเล่น ทำไมไม่เอาเฮนโด้เล่น ทำไมไม่เอาคนนั้นคนนู้นคนนี้เล่น

มองไม่เห็นเหรอไงว่าขวาโดนพาทัวร์แน่...

... ฯลฯ

ใจเย็นเย้นนน จะรีบกันไปหนายยค้าบบบ

เอาเข้าจริงเดอะค็อปทุกคนก็เชียร์ลิเวอร์พูลด้วยกันทั้งนั้น หากการแสดงออกต่างกัน

ความกังวลที่ระบายออกมาอาจไม่ได้หมายความถึงการดูถูกจริงๆ จังๆ อะไรหรอก หากแต่คือความเป็นห่วงอย่างที่สุด

ห่วงว่าทีมจะแพ้ กลัวว่าทีมจะพลาด กังวลว่าทีมจะถูกถล่มให้อับอายขายหน้า

นั่นไม่เป็นไรหรอกนะครับ เพียงแต่บางถ้อยคำ บางประโยคที่พิมพ์ออกมามันไม่ชวนให้รู้สึกถึงการสนับสนุนกัน หรือเคียงข้างกันเท่าไหร่

เกมยังไม่ทันเริ่ม ก็หาแพะรับบาปเสียแล้ว

เสียงนกหวีดยังไม่ทันดัง ก็ถอดใจกันไปเรียบร้อย

นักเตะลิเวอร์พูลไม่เคยยอมแพ้จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย หลายเกมที่สู้ยิบตาจนแทบขาดใจ เค้นเอาทุกอย่างออกมาจนสิ้นเรี่ยวแรง แต่หนึ่งชั่วโมงก่อนเตะ สามชั่วโมงก่อนเกมจบ คนที่ไม่ได้เหนื่อยต้องวิ่งในสนามด้วยซ้ำกลับยอมแพ้เสียเองเพียงแค่เห็นรายชื่อ บางคนยังดูถูกนักเตะของตัวเองต่างๆ นานา

ตรงนี้ก็ต้องแยกอีกนะครับ แสดงความเป็นห่วง กับ แสดงความดูถูก มันก็แยกออกจากกันได้แม้บางทีมันเหมือนมีเส้นบางๆ คั่นอยู่ก็ตาม

ลองย้อนกลับไปดูคอมเม้นต์ต่างๆ ตอนประกาศตัวผู้เล่นอีกครั้ง เราจะยิ่งได้เห็นความบันเทิง ผมคิดว่ากระทั่งคนที่พิมพ์ระบายมันลงไปยังอาจขำตัวเอง นี่กูตื่นตูมอะไรขนาดนั้นเนี่ย

บางคนอาจจะอยากขอโทษท่านรองกับน้องจุกด้วยซ้ำ ผมผิดไปแล้วค้าบ ต่อไปผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้วค้าบบบ

แล้วเกมต่อมาก็เม้นต์อย่างเดิมอีกเมื่อเห็นทั้งคู่ลงสนาม (ฮา)

มองให้เป็นเรื่องขำและสนุกไปมันก็ไม่เครียด อย่างที่บอกครับแฟนบอลร้อยพ่อพันแม่ความรู้สึกนึกคิดและการแสดงออกก็หลากหลาย บางคนให้กำลังใจเพียวๆ คอยพูดแต่คำดีๆ ให้ทีม บางคนอยู่เฉยๆ คอยสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น บางคนก็ปากร้ายหน่อย ขอบ่น ขอติ ขอด่าไว้ก่อน

มันก็เป็นความหวังดีต่อทีมทั้งนั้น แต่แสดงออกไม่เหมือนกัน ตัวเนื้อหาของคอมเม้นต์อาจจะอ่านแล้วรันทดชวนหดหู่ หากมันก็มาจากความห่วงใยทีมอย่างบริสุทธิ์

ก็ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลยไป แต่บอกตามตรงเวลาอ่านเจอข้อความอะไรแย่ๆ มันก็ชวนให้ดำดิ่งจริงๆ นะ

โลกไม่ได้ต้องการแค่คำหวานๆ หรอกครับอันนั้นเข้าใจ แต่การมองหาคนผิดตั้งแต่เกมยังไม่เริ่มมันก็ดูจะเป็นการเพิ่มความห่อเหี่ยวให้แก่กันโดยไม่จำเป็นเกินไปหน่อยไหม

เหมือนนักกีฬาของเรากำลังจะลงแข่ง แล้วเราก็ให้กำลังใจเขาด้วยการบอกว่า "มึงทำไม่ได้หรอก"

แหม่.. ช่างเป็นกำลังใจที่เยี่ยมยอดจริงๆ ได้ยินแล้วโคตรมีแรงฮึดเลย (ฮา)

หรือเราควรจะมองอีกด้าน มันอาจเป็นการตั้งใจกระตุ้นก็ได้ โค้ชหลายคนใช้วิธีการแบบนี้ ท้าทายนักกีฬาให้เค้นพลังออกมาเอาชนะคำสบประมาทถากถาง..

----------------------------------

กับคำถามที่ว่าจัดตัวอย่างนี้ได้ยังไง คิดอะไรอยู่ เอาเจมส์กับเอลเลียตต์ลงพร้อมกันเนี่ยนะ ทำไมไม่เอาแนทเล่น ทำไมไม่เอาเฮนโด้เล่น ทำไมไม่เอาคนนั้นคนนู้นคนนี้เล่น...

คำถามทั้งหลายที่เหมือนดูถูกสติปัญญาของเขา.. เจอร์เก้น คล็อปป์ ตอบคำถามเหล่านั้นด้วยผลงานของลูกทีมในสนามอีกครั้ง

ตอบมันทุกคำถามที่สงสัย ตอบมันด้วยผลงานของลูกทีมคนที่ถูกตั้งคำถามนั่นแหละ

ตอบมันด้วยฟอร์มของ เจมส์ มิลเนอร์ ด้วยฟอร์มของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ด้วยฟอร์มของ โจ โกเมซ ตอบอย่างไม่มีอะไรชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้วว่าคนที่รู้จักทีมดีที่สุดคือเขา ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่นักข่าว ไม่ใช่นักวิจารณ์ ไม่ใช่แฟนบอล

เขาไม่ได้ตาบอด ไม่ได้ไร้เดียงสา ไม่ได้ซื่อบื้อตื้อตัน อีกทั้งยังไม่ได้อยู่เฉยๆ เพื่อรอรับความพินาศจากคู่ต่อสู้ที่อันตรายที่สุดในโลก

ความไม่ถูกใจเรา ไม่ได้หมายความว่าเขากระจอก ตลอด 90 นาทีที่แอนฟิลด์ ทุกอย่างที่เราได้เห็นนั่นแหละ.. คือคำตอบ

"โค้ชธง" ธงชัย สุขโกกี ที่มาร่วมรายการ Soccer Party ขยี้บอลสด ทางยูทูบและเฟซบุ๊ก Siamsport เมื่อคืนนี้ชี้ให้พี่จอม แปะ ปากมาก และผมดูว่า วิธีการยืนของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ช่วยทีมได้ขนาดไหน

"ดูตำแหน่งเอลเลียตต์ยืนเกมนี้สุดยอดว่ะ มีสมาธิกับเกมสูงมาก ไม่บีบมั่วซั่ว แต่คอยยืนบังไลน์จ่ายของอาเก้ตลอดเวลา อันนี้คล็อปป์น่าจะกำชับมาเลยว่าให้เล่นแบบนั้น"

ทางที่ เนธาน อาเก้ จะจ่ายออกริมเส้นให้ อิลคาย กุนโดกัน แบร์นาร์โด้ ซิลวา หรือ ฟิล โฟเด้น จะถูกเอลเลียตต์ขัดขวางเอาไว้ไม่ให้ส่งได้ถนัด นั่นคือบทบาทที่เอลเลียตต์ได้รับมอบหมาย

ในจังหวะที่ทีมไล่บีบกดดันแดนบน เขาก็วิ่งขึ้นลงใช้แรงเต็มที่ ช่วยตัวรุกคนอื่นๆ ไล่เพรสด้วย แต่พอยามรับก็ถอยมาเล่นตั้งรับเป็นด่านที่สองคอยบังไม่ให้อาเก้หรือใครก็ตามที่ได้บอลในพื้นที่ของเขาได้ผ่านบอลออกด้านข้างได้ง่ายๆ ด้วย

โดยเฉพาะในช่วงที่ทีมถูกกดให้ตั้งรับในครึ่งหลัง แทบไม่ได้เล่นบีบแดนบนใส่ซิตี้อีก เอลเลียตต์ก็ยิ่งโฟกัสกับการรักษาตำแหน่ง ทำตามหน้าที่คอยยืนขวางแนวจ่ายบอลทางซ้ายของซิตี้ และสามารถวิ่งกลับไปช่วยเกมรับได้ง่ายขึ้นด้วยพื้นที่การยืนไม่สูงเกินไป

ถ้าทีมตัดบอลได้และเปลี่ยนจากรับเป็นรุกก็สปีดขึ้นไปช่วย พอจบจังหวะก็วิ่งกลับลงมาประจำตำแหน่ง คอยยืนบังไลน์จ่ายของผู้มาเยือนเหมือนเดิม

"เอลเลียตต์ยืนได้ดีมากนะ" โค้ชธงบอก พร้อมยังเปรียบเทียบให้ดูการยืนระหว่างเอลเลียตต์กับ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ที่ถูกเปลี่ยนลงไปแทนเขาในช่วง 17 นาทีสุดท้ายว่าแตกต่างกันมาก คาร์วัลโญ่ตื่นตัวกับการขยับบังทางจ่ายบอลของผู้เล่นแมนฯ ซิตี้ น้อยกว่าเอลเลียตต์อย่างชัดเจน

นั่นคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจไม่ได้สังเกตเห็น ทั้งในเกมนี้และเกมอื่นๆ เราอาจจะดูแค่ตอนเขาได้บอลหรือตอนเข้าปะทะแย่งบอล  แต่เราไม่ได้ดูตอนที่เขาไม่มีส่วนร่วมกับบอล

ไม่มีส่วนร่วมกับบอล แต่มีส่วนร่วมกับเกม.. นั่นคือสิ่งที่เอลเลียตต์ทำได้ดีมากในเกมนี้

ฟุตบอลว่ากันไปในแต่ละเกม มีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหา มองหาจุดบกพร่อง จุดที่ยังต้องแก้ไข จุดที่ยังเป็นรองคู่ต่อสู้ แก้ด้วยแท็คติก ด้วยวิธีการ ด้วยจิตวิทยา

เล่นไม่ดีในเกมนี้ ใช่จะเล่นไม่ดีอย่างนั้นในเกมใหม่ สถานการณ์ใหม่ คู่ต่อสู้ใหม่ หลายครั้งเราจึงได้เห็นผลการแข่งขันที่ผิดไปจากที่คาด

ก็เพราะฟุตบอลเป็นอย่างนี้ มันว่ากันไปในแต่ละเกม.. 90 นาทีนั้นใครเตรียมตัวมาดีกว่า ทำได้ดีกว่า ผิดพลาดน้อยกว่า ก็เป็นผู้ชนะไป

และเช่นกันครับ เล่นดีในเกมนี้ ก็ใช่ว่าจะเล่นดีได้อย่างนั้นตลอดไปชั่วกาลปาวสาน หน้าที่ของผู้จัดการทีมและนักฟุตบอลก็คือเรื่องนี้นี่แหละ ต้องรักษาความสม่ำเสมอให้ได้นานที่สุดซึ่งมันก็เป็นเรื่องยากที่สุดเหมือนกัน

การรับมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คล็อปป์คงเน้นย้ำไปที่ทุกรายละเอียดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งที่น่าชื่นชมก็คือลูกทีมของเขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ยอดเยี่ยม

ผมประทับใจในการเล่นของนักเตะทุกคน ทั้งตัวจริงตัวสำรองต่างก็ช่วยกันวิ่งไล่ ช่วยกันป้องกัน ช่วยกันปิดทางคู่แข่งและทำทางให้เพื่อน

แต่ที่ประทับใจเป็นพิเศษคือทุกๆ คนในแนวรับ มิลเนอร์ โกเมซ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เล่นกันได้สมบูรณ์แบบ ทั้งบู๊ ทั้งหนัก ทั้งแฟร์ อัดเป็นอัด กัดไม่ปล่อย เต็มไปด้วยสมาธิไม่แตกตื่น

เก็บคลีนชีตได้จากทีมที่มีเกมรุกโหดเหี้ยมที่สุดของวงการ

คู่เซนเตอร์แบ๊กของลิเวอร์พูลเมื่อคืนวันอาทิตย์แปรเปลี่ยนเป็นหินผา บอลมาทางไหนก็ติดหมด ลูกเรียด ลูกโด่ง บอลทะลุตามช่อง ทั้ง โกเมซ และ ฟาน ไดค์ เก็บกินเรียบ

จังหวะแย่งโหม่งกันกลางอากาศ โกเมซก็จัดการยอดดาวยิงแห่งยุคอย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์ ได้ดี ทั้งเอาชนะได้โดยตรงและเบียดปะทะชิงเหลี่ยมทำให้หัวหอกนอร์วีเจี้ยนโขกไม่ถนัด

ความเร็วของโกเมซก็ช่วยได้มาก เขาเค้นฟอร์มสุดยอดออกมาทันเวลา จังหวะเข้าพรวดที่เคยเห็นก็ไม่มีให้เห็น คลาสของเขาในเกมนี้เชื่อว่าทำให้เดอะค็อปปลื้มและวางใจขึ้นอีกมาก

ผมให้เขาเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ ด้วยคะแนนสิบเต็มไปเลย ก็ผมเป็นแฟนหงส์นี่ครับ ผมจะให้คะแนนแบบนี้แหละใครจะทำไม (ฮา)

ฟาน ไดค์ ก็ใกล้ๆ สิบเต็มเหมือนกัน ความสมบูรณ์แบบกลับมาอีกครั้ง บอลไม่ผ่านเขาเลยและยังสกัดจังหวะสำคัญๆ ได้ตลอด

นิ่งและตระหง่านในแบบ VVD

มิลเนอร์เองก็เอาชนะทั้งความวิตกกังวลและเสียงดูถูกจากแฟนบอลบางคนได้ด้วยตัวเขาเองรวมถึงการช่วยกันของน้องๆ ทั้งโกเมซ ฟาบินโญ่ และเอลเลียตต์ ในพื้นที่ป้องกันฝั่งขวา

ด้วยแท็คติกแล้วเกมนี้ลิเวอร์พูลไม่ได้ใช้เกมบุกจากแบ๊กมากนัก การใช้มิลเนอร์กับบทบาทเกมรับล้วนๆ ในตำแหน่งแบ๊กขวาจึงเป็นทางออกที่เข้าใจได้ ให้เขาใช้พลังอย่างเข้มข้นไปที่เกมป้องกันเกือบทั้งหมด

บางทีสถานการณ์ก็มีส่วนขับให้เกมรับของลิเวอร์พูลดูโดดเด่นขึ้นมาด้วย เพราะพวกเขาไม่ได้เปิดหน้าแลกเหมือนเกมอื่นๆ

ก็ด้วยคู่แข่งอย่างซิตี้ และโมเมนตัมในเวลานี้ ความรัดกุมจึงต้องมาก่อน

หลังจากตั้งหลักสู้หมัดต่อหมัดในช่วงครึ่งแรก ลิเวอร์พูลก็หันมาเน้นการรับในแดนในครึ่งหลัง ขยับตัวปิดพื้นที่ไม่ให้ตัวอันตรายทั้งหลายของซิตี้ได้มีโอกาสผ่านบอล เข้าพัวพันตัวปล่อยบอลอย่าง เควิน เดอบรอยน์ อิลคาย กุนโดกัน แบร์นาร์โด้ ซิลวา อย่างรวดเร็ว พยายามทำให้นักเตะเหล่านี้เล่นลำบากที่สุด

ถ้าบอลจากพื้นที่เข้าทำของซิตี้ปล่อยออกมาไม่ได้ ความอันตรายที่จะได้รับจากฮาลันด์ก็ลดลง

นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ได้เห็นเกมรับถูกฉีกเป็นวิ่นๆ เหมือนเกมอื่น เพราะแนวรับของหงส์แดงไม่ได้ยืนสูงแบบไฮไลน์ดีเฟนซ์ ฟูลแบ๊กไม่เติมเกมรุกพร่ำเพรื่อแม้กระทั่งในครึ่งแรกที่ทีมยังเล่นไล่บีบแดนบนในบางจังหวะ พื้นที่โล่งหลังแบ๊กหรือการโดนแทงทะลุเข้าช่องให้หลุดเดี่ยวจึงไม่มีให้เห็น

มันก็เป็นเกมๆ ไป และไม่ใช่ว่าลิเวอร์พูลจะเล่นแบบนี้ในเกมอื่นๆ

สามคะแนนเหนือแมนฯ ซิตี้ ตอกย้ำกับเราว่าฟุตบอลมีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเสมอ และการต่อสู้ของทีมระดับสูงอย่างนี้ทุกอย่างต้องละเอียดจริงๆ นักเตะต้องมีสมาธิและความอดทนสูงมาก

อดทนกับการเล่นเกมรับ อดทนกับการถูกกดดัน อดทนกับการรอคอยโอกาสทอง

จะบอกว่าเกมของซิตี้เข้าทางลิเวอร์พูลก็คงจะพอพูดได้เหมือนกัน การมีคู่เซนเตอร์แบ๊กที่ท็อปฟอร์ม มีกองกลางช่วยคุมพื้นที่ตัดเกม และมีตัวรุกที่ทั้งเร็วและไว้ใจได้อย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ประกอบกับประสิทธิภาพในการครอบครองบอลของซิตี้ การรับแล้วโต้โดยเฉพาะที่เราเห็นในครึ่งหลังจึงน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

และเหนืออื่นใดคือ "หัวใจ"

มีช่วงเวลาไหนในเกมเมื่อคืนนี้บ้างที่เราไม่เห็น "หัวใจ" ของพวกเขา

แน่นอนความผิดพลาดน้อยใหญ่ที่อาจส่งผลเสียหายเป็นจุดพลิกผันของเกมก็ยังมีให้เห็นเช่นกัน และนั่นคือบทเรียนที่คล็อปป์กับลูกทีมแต่ละคนจะต้องนำไปปรับแก้ให้มันเกิดขึ้นน้อยที่สุดหรือไม่เกิดขึ้นอีกเลยต่อไป

เสียงเชียร์ที่เปรียบเสมือนนักเตะคนที่ 12 ยังคงทำงานเต็มพลังของมัน เมื่อบวกกับการตอบสนองของนักเตะลิเวอร์พูลในเกมนี้ บรรยากาศและผลการแข่งขันที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์จึงเป็นที่สุดของที่สุด

เข้มขลัง ทรงพลัง เร้าใจ ระเบิดอารมณ์ และเราคล้ายถูกกระชากไฟในตัวออกมาอีกครั้ง

ไม่มีการเรียกความมั่นใจวิธีไหนดีไปกว่าการโค่นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกแล้ว

ยัดเยียดความพ่ายแพ้เกมแรกให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตอกย้ำให้ทุกคนได้เห็นอีกครั้งว่าลิเวอร์พูลไม่เคยก้มหน้าให้กับพายุร้ายใดๆ

ท่ามกลางมรสุมโหมกระหน่ำ ลิเวอร์พูลยังพร้อมจะเดินฝ่ามันไปด้วยความหวังอยู่เสมอ มันไม่ใช่ครั้งแรก และแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport