นี่แหละ ลิเวอร์พูล 2.0 ที่กำลังก้าวไปข้างหน้า

90 นาทีที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันพุธบอกกับเราอีกครั้งว่า ในเกมที่เป็นรอง คุณต้องฉกฉวยทุกโอกาสให้ได้.. ไม่อย่างนั้นอาจเป็นคุณเองที่ถูกลงโทษ

ฟูแล่มได้รับบทเรียนนั้นไปเต็มๆ การโยนโอกาสทองที่จะหนีเป็น 2-0 ทิ้งไปในนาทีที่ 63 คือจุดพลิกผันที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาได้

พลิกจากแพ้เป็นชนะ.. อีกครั้ง และอีกครั้ง

ย้อนกลับไปเพียง 5 สัปดาห์ก่อน ฟูแล่มก็เกือบจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะในการศึกที่แอนฟิลด์ แต่ประตูของ วาตารุ เอนโด กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในเวลาห่างกันแค่นาทีเดียวพาหงส์แดงแซงเอาสามแต้มหืดจับด้วยสกอร์ 4-3

เกมนี้ มาร์โก ซิลวา ทำได้ดียิ่งกว่านั้นอีก เมื่อลูกทีมของเขาช่วยกันสกัดกั้นไม่ให้นักเตะลิเวอร์พูลมีช่องเข้าทำได้จะแจ้ง ปล่อยให้การครองบอลเป็นของเจ้าถิ่นไป เน้นวินัยในเกมป้องกัน ช่วยกันเล่น ช่วยกันซ้อน ช่วยกันปิดช่องว่าง ด้วยรู้ดีว่าการเปิดหน้าแลกที่แอนฟิลด์เป็นความเสี่ยงขั้นสุด

รอโอกาสของตัวเอง เล่นไปตามจังหวะ ไม่ต้องถึงกับชนะหรอก แค่ไม่แพ้ก็ถือว่าทำได้ตามเป้าหมาย แล้วรอกลับไปเอาคืนที่ คราเวน ค็อตเทจ ในนัดชิงตั๋วไปเวมบลีย์

แล้วฟูแล่มก็คว้าโอกาสนั้นไว้ได้จริงๆ ในครึ่งแรก เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ถูก ราอูล ฮิมิเนซ พิงอยู่ด้านหน้าทำให้ส่งน้ำหนักได้ไม่เต็มที่ในการโหม่งสกัด บอลเบาตกอยู่แถวเขตโทษก่อนที่สุดท้ายจะไปถึง วิลเลียน ลากเข้าไปยิงเฉียบขาด

เกมในครึ่งแรกลิเวอร์พูลได้ครองบอลบุกเข้าใส่แต่ถูกดึงให้ช้าในพื้นที่สุดท้าย ความหนาแน่นของผู้เล่นฟูแล่มทำให้บอลได้เสียปล่อยออกจากเท้ายากขึ้น ความลังเลมากขึ้น

โอกาสจะแจ้งที่จะได้ประตูจึงไม่สอดคล้องเลยกับเปอร์เซนต์การครอบครองบอล

เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังยอมรับว่าทีมของเขาเล่นช้าเกินไป และต้องปรับความเร็วในการเล่นเมื่อเข้าสู่ครึ่งหลัง

กระนั้นในช่วงครึ่งหลังความกังวลยังอบอวลทั่วแอนฟิลด์เพราะประตูตีเสมอยังแทบไม่มีวี่แวว ฟูแล่มปักหลักเล่นอย่างมั่นใจ แต่การส่ง โกดี้ คักโป กับ ดาร์วิน นูนเญซ ลงสนามในช่วงเกือบถึงหนึ่งชั่วโมงของเกมคือจุดเริ่มต้นของความพลิกผัน

เป็นอีกครั้งที่ตัวสำรองของลิเวอร์พูลแผลงฤทธิ์ สุดท้ายแล้วเกมนี้นูนเญซจ่าย 2 คักโปยิง 1 พาทีมแซงชนะได้สำเร็จ นับเป็นการมีส่วนร่วมถึง 30 ประตูเข้าไปแล้วสำหรับนักเตะที่ลุกจากม้านั่งสำรองของคล็อปป์ในซีซั่นนี้

อย่างไรก็ตามจุดพลิกผันนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้า บ็อบบี้ รีด จะทำได้ดีกว่านี้ในโอกาสทองของฟูแล่ม

กับเกมที่ถูกบุกใส่ตลอดเวลา สมาธิห้ามตกหล่น ต้องเล่นอย่างอดทนและรอโอกาสโต้กลับ

มันมาถึงจนได้ แต่ รีด กลับโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี บอลหลุดขึ้นทางขวาและมี อันเดรส เปเรยร่า วิ่งสปีดเข้ามาตรงเขตโทษ ขอเพียงปีกจาเมกาจ่ายให้เท่านั้น ด้วยพื้นที่ขนาดนั้น ด้วยความเร็วขนาดนั้น ลูกจ่ายของเขาไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซนต์ก็ยังได้ บอลจะไปถึงเปเรยร่าได้ยิงจ่อๆ แน่นอน

หัวใจเดอะค็อปหล่นไปที่ตาตุ่ม ก่อนจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อ รีด ตัดสินใจยิงเองจากมุมที่ยากอย่างนั้นทำให้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ปัดทิ้งออกไปได้

คนที่ผมรู้สึกแปลกใจที่สุดในจังหวะนี้คือเปเรยร่า.. เขาไม่แสดงอาการหงุดหงิดออกมาเลยทั้งที่เป็นจังหวะสำคัญน่าโมโหขนาดนั้น ดาวเตะแซมบ้าไม่มีอาการกระฟัดกระเฟียด ตรงกันข้ามกลับยังมีสติดีพอที่จะวิ่งตามบอลที่ทะลักออกมาด้วยซ้ำ

วินาทีนั้น.. ลิเวอร์พูลรอดพ้นจากการเสียประตูที่สองอย่างไม่น่าเชื่อ และมันเปิดโอกาสช่องใหญ่ให้พวกเขาทันที ประตูตีเสมอจาก เคอร์ติส โจนส์ ตามมาหลังจากนั้นแค่ 5 นาที ทั้งยังมาจากการยิงแฉลบซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณบอกว่าโชคเริ่มเข้าข้างบ้างแล้ว

น่าจะโดน 0-2 แต่กลับตีเสมอ 1-1 เวลาที่เหลืออีกร่วมยี่สิบนาทียิ่งกว่าเหลือเฟือ

สถิติเมื่อยิงประตูใส่คู่แข่งได้ก่อนของฟูแล่มในฤดูกาลนี้คือ 12-11-1-0.. ยิงนำก่อน 12 เกม ชนะ 11 เกม เสมอ 1 เกม ไม่แพ้เลย แสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการรักษาสถานการณ์ของพวกเขา แต่ก็นั่นล่ะครับ ฟุตบอลมีความละเอียดอ่อนของมันอยู่ และแอนฟิลด์ก็เป็นสถานที่ที่ผู้มาเยือนใช่จะเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้ง่ายๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของคล็อปป์

โปรดิวเซอร์ถ่ายทอดสดตัดภาพเดี่ยวของ รีด ให้เห็นหลายครั้ง อีกทั้งยังรีเพลย์จังหวะที่เขาเลือกยิงแทนที่จะส่งนั้นย้อนหลังให้ชมอีก 2 หน เป็นการยืนยันหนักแน่นว่าจุดพลิกผันครั้งนั้นสำคัญขนาดไหน

นอกจากการเล่นที่เร็วขึ้นแล้ว ผู้เล่นลิเวอร์พูลยังพยายามหาวิธีการเพิ่มเติมในการเจาะแนวรับของทีมเยือนให้ได้ การยิงไกลและการลากเลื้อยตีโซนป้องกันให้แตกถูกนำมาใช้มากขึ้นผสมผสานไปกับการเจาะช่องและเข้าทำจากด้านข้าง

การพาบอลแหวกของ ดีโอโก้ โชต้า นำมาซึ่งประตูตีเสมอของโจนส์ แน่นอนมันมีโชคช่วยจากการแฉลบแต่ก็เป็นรางวัลให้กับความพยายามไม่ย่อท้อของนักเตะหงส์

บรรยากาศในแอนฟิลด์หลังประตูนั้นเดือดพล่าน เสียงตะโกนเร่งเร้ากึกก้อง ดีกรีความเข้มข้นพุ่งทะลักปรอทแทบไม่แพ้เกมยูโรเปี้ยนไนท์อันเลื่องชื่อ กระทั่งนั่งดูถ่ายทอดสดหน้าจอยังได้ยินเสียงเชียร์กระหึ่มทะลวงลำโพง

การโยนโอกาสฝังลิเวอร์พูลทิ้งไปและต่อเนื่องด้วยการถูกตีเสมอทำร้ายฟูแล่มอย่างสาหัส ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากราวกับปราสาททรายที่ถูกน้ำทะเลทลายลง อีกเพียง 3 นาทีให้หลังความปั่นป่วนของเกมรับก็รับมือโมเมนตัมการโหมกระหน่ำของเจ้าถิ่นไม่ไหว

โจนส์กระชากบอลขึ้นหน้าแล้วผ่านให้โชต้าทางซ้าย ดาวเตะโปรตุกีสดึงจังหวะก่อนไหลให้นูนเญซไปถึงเส้นหลัง หัวหอกอุรุกวัยตวัดเข้ามาให้คักโปชาร์จที่เสาแรกตุงตาข่าย

เป็นการเข้าทำที่ดูง่ายๆ มันง่ายจนไม่อยากเชื่อว่าลิเวอร์พูลหาโอกาสแบบนี้มาตลอดทั้งเกม

ผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่มีส่วนอย่างมากคือนักเตะฟูแล่มอ่อนล้าหมดพลังกันไปมากแล้ว การถูกบุกใส่ตลอดเวลานั้นไม่ใช่เรื่องสนุก มันเหนื่อยแสนเหนื่อย เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ต้องรักษาสมาธิ ต้องช่วยวิ่งช่วยซ้อนเพื่อน ช่วยสกัดกั้น และเกมบุกก็มักจะมาจากทุกทิศทุกทาง

เหนื่อยนะครับ ใครที่เคยเล่นบอลแล้วถูกกดให้รับอยู่ข้างเดียวจะเข้าใจดีว่าเหนื่อยแค่ไหน

การลงสนามของ ดาร์วิน กับ คักโป ในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนอกจากเพื่อเพิ่มความสดและมิติเกมรุกแล้ว ผลพลอยได้ยังเป็นการเพิ่มพลังบดขยี้ให้เกมรุก สวนทางกับเกมรับของคู่ต่อสู้ที่อ่อนกำลังลงทุกทีอีกด้วย

แข้งขาของนักเตะฟูแล่มจะเริ่มเคลื่อนไหวไม่ได้ดังที่สมองสั่ง ภารกิจที่เคยดูยากในครึ่งแรกจึงเริ่มดูง่ายขึ้นและง่ายขึ้นทุกทีเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ทำนบของฟูแล่มแตกเสียประตูตีเสมอตามด้วยประตู 2-1 ของลิเวอร์พูล

"There is a feeling that the next goal of liverpool is just a matter of moment - ดูเหมือนว่าประตูต่อไปของลิเวอร์พูลจะมาแน่ ขึ้นอยู่กับเมื่อไหร่เท่านั้นเอง -" เสียงผู้บรรยายบอกอย่างนั้นหลังจากโชต้าลากบอลตัดเข้ามายิงข้ามคานแบบได้ลุ้น

เกมในช่วง 10 นาทีสุดท้ายเป็นอย่างนั้นจริงๆ ความหวาดเสียวที่จะถูกยิงตีเสมอ 2-2 แทบไม่มีแล้ว รูปเกมคือลุ้นประตู 3-1 มากกว่า

กับ ดาร์วิน นูนเญซ ในเกมนี้ผมมองเห็นความผ่อนคลายและความมั่นใจ มีรอยยิ้ม ไม่เครียด มันยังสะท้อนไปยังเกมของเขาในสนาม การวิ่งเข้าช่อง วิ่งทำทาง เพรสซิ่งไล่บีบคู่แข่ง แม้กระทั่งการยิงประตูดูเป็นธรรมชาติไม่ร้อนรน จริงอยู่ว่าประตูก็ยังไม่มาเหมือนเดิมแต่ 2 แอสซิสต์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

คล็อปป์บอกว่าที่ดาร์วินต้องนั่งสำรองในเกมนี้เป็นเพราะตะคริวในเกมเจออาร์เซน่อลแต่ผมคิดว่ามันกลับกลายเป็นเรื่องดีอย่างไม่คาดคิดเพราะความสดของเขาเล่นงานเกมรับฟูแล่มได้จริงๆ

ยิ่งเล่นได้ เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ กระชากหายๆ ได้ส่งให้เพื่อนทำประตู และได้สับไกยิงใกล้เคียง เราจึงได้เห็นความผ่อนคลายแบบนี้ของเขา และมันดูดี

มีหลายคนที่น่าชื่นชมในชัยชนะเกมนี้ เคอร์ติส โจนส์ นั้นแน่นอน ฟอร์มของกองกลางวัย 23 เริ่มคงเส้นคงวาขึ้นเรื่อยๆ แฟนบอลที่เคยบ่นเขาก็คงจะหันมารักเขามากขึ้น ผลไม้ของคล็อปป์เริ่มสุกงอมแล้ว

อีกคนที่ผมชอบมากในระดับที่อยากจะให้คะแนนสัก 10 เต็ม 10 คือเจ้าหนู คอเนอร์ แบรดลี่ย์.. 8 คะแนนเป็นฟอร์มในสนาม โบนัสพิเศษอีก 2 คะแนนคือความถูกใจส่วนตัวที่เล่นเกมนี้ได้อย่างถึงใจไม่มีกลัว

ผมชอบความกล้าเล่นของเขา กล้าเลี้ยงกล้าลุยไม่มีตื่นเต้นลนลาน เรียกฟาวล์ในระยะหวังผลได้ 2-3 ครั้ง มีส่วนร่วมตรงพื้นที่รอบเขตโทษของคู่แข่งตลอดเวลา

แน่นอนว่าเขายังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก อย่างน้อยก็ในเกมที่จะต้องถูกทดสอบเรื่องเกมรับมากกว่านี้เพราะนัดนี้ลิเวอร์พูลบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียว กระนั้นถ้าดูจากเฉพาะ 90 นาทีที่แอนฟิลด์ เด็กปั้นจากอะคาเดมี่คนนี้สอบผ่านฉลุย

ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะที่ต้องการได้แล้ว อาจจะหืดจับอยู่บ้างและทำให้เกมนัดสองที่ไปเยือนคราเวน ค็อตเทจ ยังมีความเสี่ยง แต่เรายังคงได้เห็นภาพดีๆ ของทีมชุดนี้เหมือนเดิม

ยังคงมีอะไรน่าประทับใจให้เห็นอยู่เรื่อยๆ นะครับ.. ไม่มีหยุดเลย นี่แหละลิเวอร์พูล 2.0 ที่กำลังก้าวไปข้างหน้าของ เจอร์เก้น คล็อปป์

ตังกุย



ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport