โคล พาลเมอร์ เหมา 2 จ่าย 1 พา เชลซี ไล่ยำ เปแอสเช 3-0 ผงาดแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 2025 สมัยที่ 2 พร้อมเงินรางวัลกว่า 4,100 ล้านบาท ขณะที่ หลุยส์ เอ็นรีเก้ อดคว้าแชมป์ 5 รายการรวดในซีซั่นเดียว
เชลซี ทีมพลังหนุ่มจาก พรีเมียร์ลีก ระเบิดศักยภาพให้โลกประจักษ์ด้วยการไล่ขยี้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง จมธรณี 3-0 สิ้นลายแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมชิงชนะเลิศ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ก.ค.ส่งผลให้ สิงห์บลูส์ เพิ่มโทรฟี่สโมสรโลกได้อีกชิ้นในซีซั่นนี้ต่อจาก ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก โดยเกมนี้ โคล พาลเมอร์ ร่ายเพลงเตะขั้นเทพได้อย่างเต็มร้อยจากการยิงสองจ่ายหนึ่งพาทีมลูกหนังของกรุงลอนดอนซิวเงินรางวัลก้อนมโหฬาร 129.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,144 ล้านบาท)
1. สิงห์เต็มสูบ ไกเซโด้ ฟิตลงตัวจริง
เชลซี ได้รับข่าวดีตามคาดเมื่อ มอยเซส ไกเซโด้ กองกลางคนสำคัญฟิตลงเล่นเป็น 11 คนแรกได้หลังมีปัญหาบาดเจ็บช่วงท้ายเกมนัดชนะ ฟลูมิเนนเซ่ 2-0 ในรอบรองชนะเลิศ
นอกจากนี้ ชูเอา เปโดร กองหน้าคนใหม่ซึ่งสร้างชื่อได้ทันทีในเกมประเดิมสนามกับ สิงห์บลูส์ ด้วยการเหมายิงสองประตูใส่ทีมจากลีกเมืองกาแฟได้ออกสตาร์ตในเกมสำคัญเช่นกัน
รวมแล้ว เอ็นโซ่ มาเรสก้า ผู้จัดการทีม เชลซี สลับโผตัวจริงสองรายจากนัดก่อนโดย ลีวาย โคลวิลล์ กับ รีซ เจมส์ สองกองหลังได้ลงเล่นก่อนหน้า โทซิน อดาราบิโอโย่ และ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู
2. เปแอสเช ชุดเดิมไร้สองแข้งติดโทษแบน
ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ วางใจในตัว 11 นักเตะชุดเดิมที่ยำใหญ่ เรอัล มาดริด 4-0 ในเกมรอบตัดเชือกอีกคู่
สำหรับโผดังกล่าว แน่นอนว่าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปราศจากสองกองหลัง ลูกาส์ แอร์กน็องเดซ และ วิลเลี่ยน ปาโช่ ที่โดนแบนคนละสองนัดจากใบแดงนัดชนะ บาเยิร์น 2-0 ในรอบแปดทีม
ด้าน มาร์กินญอส กองหลังกัปตันทีมลงเล่นเกมชิงชนะเลิศแมตช์นี้กับ เปแอสเช เป็นนัดที่ 22 แล้ว (นับรวมซูเปอร์คัพด้วย) โดยสตาร์ทีมชาติ บราซิล ประสบความสำเร็จได้แชมป์ 19 จาก 21 รายการ
3. พาลเมอร์ หนาว-เจ้ายุโรปหนาวกว่า
ต้องบอกว่า เชลซี เริ่มต้นออกสตาร์ตเกมนี้โดยไม่เกรงศักดิ์ศรีของแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลยแม้แต่น้อยโดยพวกเขาเป็นฝ่ายบุกเข้าใส่ทีมจากลีกเมืองน้ำหอมก่อน แถมสร้างความหวาดเสียวได้เป็นระยะอีกด้วย
กระทั่งในที่สุด การขึ้นเกมรุกทางขวาของ สิงห์บลูส์ ก็ทำให้ทีมได้สองประตูจากฝีเท้าของ โคล พาลเมอร์ คนเดียวในนาทีที่ 22 และ 30 โดยประตูแรกต้องยกความดีความชอบให้ มาโล่ กุสโต้ ด้วยเช่นกันที่พาบอลทะยานขึ้นไปก่อนที่อดีตดาวเตะทีม แมนฯ ซิตี้ จะได้ง้างไกจากระยะ 18 หลาเหมือนเม็ดสองของตัวเขาเองไม่มีผิด
หลังเช็กบิลได้ พาลเมอร์ ในวัย 23 ปี 68 วันกลายเป็นนักเตะ เชลซี อายุน้อยที่สุดที่พังประตูได้ในเกมชิงชนะเลิศของสโมสรในทุกรายการรองจาก ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่สอยตาข่ายในเกมชิงดำรายการนี้เมื่อปี 2022 เกมบู๊กับ พัลไมรัส ในวัย 22 ปี 246 วัน
อีกทั้งหลังพาทีมนำห่าง 2-0 พาลเมอร์ สร้างชื่อเป็นสตาร์ สิงห์บลูส์ รายที่สามที่ทำสกอร์ในเกมชิงชนะเลิศให้สโมสรในศตวรรษนี้ได้มากกว่าหนึ่งเม็ดต่อจาก ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ เอแด็น อาซาร์
ไม่เท่านั้น หากแต่ พาลเมอร์ ยังเป็นพ่อค้าแข้งรายแรกด้วยที่ยิงใส่ เปแอสเช ในยุคของ เอ็นรีเก้ ได้เกินกว่าหนึ่งตุุงในช่วง 45 นาทีแรก แถมเป็นนักเตะคนที่สามที่ยิงใส่ เปแอสเช ในเกมชิงดำได้มากกว่าหนึ่งประตูต่อจาก มิเชล พลาตินี่ ที่ซัดให้ แซงต์ เอเตียง ในเกมชิงชนะเลิศ เฟร้นช์ คัพ ปี 1982 และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ที่กระทุ้งให้ ยูเวนตุส ในนัดสองของเกมชิงถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ เดือนก.พ.1997
และคล้ายกับว่า เปแอสเช จะยังหนาวไม่พอเมื่อ เปโดร ได้โชว์ความร้อนแรงเป็นเกมที่สองติดต่อกันหลังได้บอลแทงทะลุช่องจาก พาลเมอร์ หลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษไปตักบอลข้าม จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ตุงตาข่ายพาทีมแชมป์ คอนเฟอเรนซ์ ลีก นำห่าง 3-0 ก่อนจบครึ่งแรก
แน่นอนว่าแม้ทีมแชมป์บิ๊กเอียร์จะครองบอลในครึ่งแรกได้เหนือกว่า 69.7%:30.3% แต่พวกเขาไม่มีพิษสงเอาซะเลยเนื่องจากได้ส่องยิงแค่ 2 หนแม้จะเข้ากรอบทั้งหมด ขณะที่ เชลซี ได้ง้างรวม 6 ครั้ง และเข้ากรอบ 3 ครั้ง
4. เก่งใหญ่พ่ายเก่งเล็ก
สำหรับเกมในครึ่งหลัง เปแอสเช เล่นกันได้ดีขึ้น และสร้างความระส่ำระสายให้กับแนวรับของ เชลซี ได้เป็นระยะ แต่สุดท้ายพวกเขาไม่มีประสิทธิภาพในการผลิตสกอร์เหมือนเคยโดยเฉพาะเกมนี้ อุสมาน เด็มเบเล่ หัวหอกตัวเก่งเงียบสนิท แถม โรเบิร์ต ซานเชซ นายทวาร สิงห์บลูส์ เซฟลูกอันตรายได้เรียบวุธด้วย แม้จะมีจังหวะเหวอตามสไตล์ให้เห็นอยู่เหมือนกัน
หลังฟาดฟันกันครบ 90 นาที เป็นเก่งเล็กที่เอาชนะเก่งใหญ่ได้สำเร็จด้วยสกอร์เดิมจากครึ่งแรกโดย เปแอสเช ยังเหนือกว่าในด้านการครองบอล 66.4%:33.6% และหาโอกาสทำประตูได้มากขึ้นรวม 8 ครั้ง และเข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่ทีมจากเมืองผู้ดีได้ง้างไก 10 ครั้ง และเข้ากรอบ 5 ครั้ง
จากชัยชนะในเกมดังกล่าวทำให้ เปแอสเช พลาดโอกาสคว้าแชมป์สโมสรโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ขณะที่ เชลซี ซิวแชมป์รายการนี้ได้เป็นครั้งที่สองต่อจากครั้งแรกในปี 2021 ซึ่งพวกเขาเฉือนชนะ พัลไมรัส 2-1 ในเวลา 120 นาที
ขณะเดียวกัน เชลซี เพิ่มสถิติทัดเทียมกับ เปแอสเช ได้สำเร็จจากการต่อกรกันในเกมยุโรปรวมนัดนี้เป็นนัดที่ 9 ซึ่งเศรษฐีลอนดอนมีชัยรวม 3 นัดเท่ากับคู่ต่อกร
เปแอสเช 0-3 เชลซี ,2004
เชลซี 0-0 เปแอสเช , 2004
เปแอสเช 3-1 เชลซี ,2014
เชลซี 2-0 เปแอสเช ,2014
เปแอสเช 1-1 เชลซี ,2015
เชลซี 2-2 เปแอสเช , 2015
เปแอสเช 2-1 เชลซี ,2016
เชลซี 1-2 เปแอสเช ,2016
เขลซี 3-0 เปแอสเช , 2025
5. เอ็นรีเก้ อดกินรวบ
แม้ เอ็นรีเก้ จะสร้างชื่อพา เปแอสเช คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรหลังจากเจ้าบุญทุ่มของเมืองน้ำหอมพยายามว่าจ้างโค้ชชื่อดังสานฝันให้กับพวกเขาอย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายราย แต่ทุกรายไม่อาจพาทีมไปได้ถึงฝั่งฝัน
กระทั่งมาในยุคของกุนซือสแปนิชที่ เปแอสเช ประกาศศักดาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพชนิดที่ไม่จำเป็นต้องพึ่ง คิลิยัน เอ็มบัปเป้ กองหน้าทีมชาติ ฝรั่งเศส ที่สโมสรฝากความหวังเอาไว้ด้วยซึ่งแสดงให้เห็นว่าทีมชุดนี้สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องมีดาราระดับซูเปอร์สตาร์
ขณะเดียวกัน เอ็นรีเก้ เกือบปิดฉากซีซั่น 2024/25 ได้อย่างยิ่งใหญ่คับโลกเช่นกันเนื่องจากเขาพา เปแอสเช งาบแชมป์ได้ครบทั้งสี่รายการ และหวังหอบโทรฟี่สโมสรโลกกลับไปประดับตู้โชว์เพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าเกมนี้ เชลซี เล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจนทำเอา เปแอสเช หมองไปทันตาเห็น และทำให้ เอ็นรีเก้ ฝันค้างถึงการคว้าแชมป์ห้ารายการในซีซั่นเดียวกันต่อจาก ลีก เอิง , เฟร้นช์ คัพ , โทรเฟ่ เดส์ ช็องปิยงส์ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก