สรุป 16 ทีมสุดท้ายสโมสรโลก 2025 : ยุโรปมา 9 เอเชียเหลือทีมเดียว ใครชนใครเช็กเลย

ทั้งนี้ ทวีปยุโรปที่ส่งตัวแทนมาร่วมการแข่งขัน 12 ทีมนั้น ได้เข้ารอบทั้งหมดถึง 9 ทีม ประกอบด้วย เบนฟิก้า, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, บาเยิร์น มิวนิค, เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยทีมที่ตกรอบไปคือ แอตเลติโก มาดริด, เอฟซี ปอร์โต้ และ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก

ขณะที่ทวีปเอเชียซึ่งมีทีมที่ได้เข้าแข่ง 4 รายนั้น มีเพียงทีมเดียวที่ได้ไปต่อในรอบน็อกเอาต์ นั่นคือ อัล-ฮิลาล ทีมจากซาอุดี อาระเบีย ที่มาลุ้นถึงนัดสุดท้าย ขณะที่ อุราวะ เร้ดส์ จากญี่ปุ่น, อุลซาน เอชดี จาก เกาหลีใต้ และ อัล-ไอน์ ของ สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ต่างก็ต้องกลับบ้านไปก่อน

ในฟากของทีมจาก คอนเมโบล หรือทวีปอเมริกาใต้นั้น จากทั้งหมด 6 ทีมที่ได้ลงเล่น มีอยู่ 4 รายที่ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งมาจาก บราซิล ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น พัลไมรัส, โบตาโฟโก้, ฟลูมิเนนเซ่ และ ฟลาเมงโก้ ส่วน 2 ทีมที่ตกรอบไปคือ 2 ทีมจาก อาร์เจนตินา ได้แก่ โบคา จูเนียร์ส และ ริเวอร์ เพลท

สำหรับโซน คอนคาเคฟ มีทีมที่ได้ลงเล่น 5 ทีม แบ่งเป็นโควตาตามปรกติ 4 สล็อตจาก มอนเตอร์เรย์, ซีแอตเทิ่ล ซาวน์เดอร์ส, ปาชูก้า และ ลอสแองเจลิส เอฟซี กับโควตาเจ้าภาพอีก 1 ที่ นั่นคือ อินเตอร์ ไมอามี่ ซึ่งสุดท้ายมีเพียง อินเตอร์ ไมอามี่ กับ มอนเตอร์เรย์ ที่เข้ารอบ

ในส่วนของตัวแทนจากทวีปแอฟริกานั้น ไม่มีทีมไหนเข้ารอบเลยจากทั้งหมด 4 ทีม ไม่ว่าจะเป็น อัล-อาห์ลี ของ อียิปต์, วีดาด จาก โมร็อกโก, เอสเปร็องซ์ เดอ ตูนิส ของ ตูนิเซีย และ มาเมโลดี้ ซันดาวน์ส จากแอฟริกาใต้ ขณะที่ อ็อคแลนด์ ซิตี้ หนึ่งเดียวจากโซนโอเชียเนีย ตกรอบไปตามคาด แต่พวกเขาก็สร้างผลงานที่น่าทึ่งได้จากการเสมอกับ โบคา 1-1

สำหรับคู่แรกในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นการเจอกันระหว่าง 2 ทีมจาก บราซิล นั่นคือ พัลไมรัส ที่เข้ารอบมาในฐานะแชมป์ของกลุ่ม เอ กับ โบตาโฟโก้ รองแชมป์ของกลุ่ม บี ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนนี้ โดยครั้งล่าสุดที่คู่นี้เจอกันนั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ในเกม ซีรี่ส์ เอ บราซิล

คู่ที่สองในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นการดวลกันระหว่าง เบนฟิก้า กับ เชลซี 2 ทีมจากทวีปยุโรป ในวันที่ 28 มิถุนายนนี้เช่นกัน โดยคู่นี้เคยเจอกันในเกมแบบเป็นทางการมาแล้ว 3 หน ซึ่งก่อนหน้านี้ เชลซี คว้าชัยได้ทั้งหมด

คู่ที่ 3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายคือการเจอกันระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับ อินเตอร์ ไมอามี่ ในวันที่ 29 มิถุนายน ซึ่งไฮไลท์ของคู่นี้คงหนีไม่พ้นการเจอกับทีมเก่าของ ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีม อินเตอร์ ไมอามี่ ที่เคยปิดฉากกับ "เปแอสเช" ไม่สวยเท่าไหร่นัก

อีกคู่ที่เตะกันในวันที่ 29 มิถุนายน คือการดวลกันของ ฟลาเมงโก้ กับ บาเยิร์น มิวนิค โดยนี่จะถือเป็นครั้งแรกที่คู่นี้เจอกันในเกมแบบเป็นทางการ

สำหรับวันที่ 30 มิถุนายน จะเริ่มจากการเจอกันระหว่าง อินเตอร์ มิลาน กับ ฟลูมิเนนเซ่ โดยสำหรับ อินเตอร์ เองนั้น ในประวัติศาสตร์ของสโมสรพวกเขาไม่เคยดวลกับทีมจากแดนแซมบ้ามาก่อนแม้แต่นัดเดียว

ต่อจากนั้นจะเป็นการเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อัล-ฮิลาล ซึ่ง เชา กานเซโล่ นักเตะของ อัล-ฮิลาล มีโอกาสเจอกับทีมเก่าด้วย หลังจากเขาเคยเล่นให้ แมนซิตี้ โดยฝั่ง อัล-ฮิลาล ยังเคยมีนักเตะที่ผ่านการเล่นใน พรีเมียร์ลีก นอกจาก กานเซโล่ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น คาลิดู คูลิบาลี่, รูเบน เนเวส และ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช

พอถึงวันที่ 1 กรกฎาคม เรอัล มาดริด จะเจอกับ ยูเวนตุส โดยการที่ทั้ง 2 ทีมต่างก็เป้นยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปทำให้พวกเขาเคยดวลกันมาแล้ว 24 ครั้ง เมื่อนับรวมทั้งเกมอุ่นเครื่องและเกมแบบเป็นทากงาร ซึ่ง มาดริด ชนะไปได้ 12 เกม ขณะที่ ยูเวนตุส กำชัยได้ 10 หน โดยหนล่าสุดที่คู่นี้เจอกันคือเกมอุ่นเครื่องเมื่อปี 2023 ที่ ยูเวนตุส ชนะไป 3-1

ปิดท้ายรอบนี้ด้วยคู่ระหว่าง ดอร์ทมุนด์ พบ มอนเตอร์เรย์ ที่จะเตะในวันเดียวกับคู่ข้างบน ซึ่ง เซร์คิโอ รามอส กองหลังกัปตันทีม มอนเตอร์เรย์ เคยเผชิญหน้ากับ "เสือเหลือง" มาแล้ว 10 ครั้ง และมีสถิติอยู่ที่การชนะ 4 เกม, เสมอ 3 ครั้ง และแพ้ 3 หน

เรียกได้ว่าแต่ละคู่มีความน่าสนใจกันพอตัวเลยทีเดียว ซึ่งก็ต้องมารอดูกันว่าใครที่จะได้ไปต่อในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เพื่อเป้าหมายกับการเป็นแชมป์รายการนี้ในบั้นปลาย