การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 กำลังใกล้เข้ามา และความตื่นเต้นก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเป็นเรื่องปกติที่จะมีการคาดการณ์ว่าชาติไหนเป็นทีมเต็งแชมป์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาติหน้าเดิมๆ ที่คอลูกหนังคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
สำหรับฟุตบอลโลกฉบับ 3 ชาติ (อเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการเพิ่มทีมเป็น 48 ชาติเข้าร่วมแข่งขัน โดยทุกชาติมีเป้าหมายเดียวกันก็คือการได้ชูโทรฟี่เวิลด์ คัพ สีทองอร่าม
แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้ชาติครบตามโควตาที่กำหนด แต่ก็เป็นไปตามสูตรที่จะมีการคาดการณ์ว่าชาติไหนจะมีโอกาสที่จะคว้าแชมป์ทัวร์นาเมนต์ลูกหนังแห่งมวลมนุษยชาติ
สำหรับ "สปอร์ต อิลลัสเตรเต็ด" นิตยสารวงการกีฬาชื่อดัง ไม่รอช้าที่จะจัด 10 อันดับโอกาสชาติที่มีความเป็นไปได้ที่จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งจะเปิดฉากในช่วงซัมเมอร์ปีหน้า
10. อิตาลี
ทีมชาติอิตาลี เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัยพลาดการผ่านเข้ารอบสุดท้ายในศึกเวิลด์ คัพ สองครั้งหลังสุด แต่สามารถคว้าแชมป์ยุโร 2020 ได้ในช่วงระหว่างที่พวกเขาหายไปอย่างเซอร์ไพรส์ในรัสเซีย (2018) และกาตาร์ (2022) เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นทีมที่คาดเดาไม่ได้ และนั่นอาจมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 2026 ก็ได้
ทัพมะกะโรนีภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือเจนนาโร่ กัตตูโซ่ ซึ่งเข้ามาแทนที่ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ เมื่อเดือนมิถุนายน โดย "ไอ้รถถัง" ไม่สามารถสร้างความประทับใจในบทบาทเทรนเนอร์ตั้งแต่หันเหชีวิตมาคุมทีม โดยล่าสุดกุมบังเหียน ไฮจ์ดุ๊ค สปลิท ในโครเอเชีย แต่เขาก็มีขุมกำลังชั้นยอดอยู่ในทีม
อิตาลี ยังไม่การันตีเข้ารอสุดท้าย โดยพวกเขาจบอันดับ 2 ในกลุ่ม ไอ นั่นทำให้ต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟ และแม้ว่าพวกเขาจะผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ แต่ในอดีตก็เคยสะดุดบนเวทีใหญ่มาแล้ว
9. อุรุกวัย
อุรุกวัย เจ้าของแชมป์เวิลด์ คัพ 2 สมัย แต่ไม่เคยได้สัมผัสความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นี้อีกเลยนับตั้งแต่ที่ได้ชูโทรฟี่แชมป์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 1950 พวกเขาเคยไปไกลสุดในตำแหน่งอันดับ 4 ที่ประเทศแอฟริกาใต้
ทัพ "จอมโหด" ตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายตั้งแต่เดือนกันยายน และพวกเขาเป็นหนึ่งในชาติม้ามืดที่มีลุ้นประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ที่อเมริกาเหนือ พวกเขาเคยชนะทั้ง อาร์เจนตินา และ บราซิล ในรอบคัดเลือกมาแล้ว
พวกเขาจะต้องสร้างเซอร์ไพรส์หากต้องการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สามในหน้าประวัติศาสตร์ประเทศ แต่กระนั้นทีมชุดนี้ก็อุดมไปด้วยนักเตะคุณภาพมากมายที่มีประสบการณ์กับสโมสรในลีกชั้นนำยุโรป ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างมาก
8. เนเธอร์แลนด์
สำหรับ เนเธอร์แลนด์ ยังคงรอคอยความสำเร็จสมัยแรกในศึกฟุตบอลโลก หลังจากเคยเป็นรองแชมป์มาแล้วสามครั้ง แต่พวกเขามีโอกาสที่จะลบฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน บนดินแดนทวีปอเมริกาเหนือ แม้มันจะไม่ง่าย แต่ทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกแบบนี้ก็ย่อมมีโอกาสเสมอ
ปัญหาของทัพดัตช์ คือพวกเขายังขาดความคงเส้นคงวาภายใต้การคุมทีมของโรนัลด์ คูมัน แม้ทีมจะเต็มไปด้วยคุณภาพ เช่น สี่แข้งจากลิเวอร์พูลอย่าง เจเรมี่ ฟริมปง, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก และโกดี้ คักโป แต่พวกเขาก็ยังมีปัญหาเรื่องการจัดระเบียบเกมรับ และยังขาดกองหน้าหมายเลข 9 ที่แท้จริง
สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือ คูมัน แอนด์ โค. จำเป็นต้องรักษาฟอร์มการเล่นให้คงเส้นคงวา เพราะทุกครั้งที่ทัพ "กังหันลม" เข้ารอบลึกๆ มักจะพลาดท่าเป็นประจำ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องแก้ไขให้ได้
7. เยอรมนี
เยอรมนี ไม่ใช่ทีมยิ่งใหญ่ครองโลกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่สามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มในศึกฟุตบอลโลก 2018 และ 2022 แม้จะเคยคว้าแชมป์ในปี 2014 นอกจากนี้ทัพ "อินทรีเหล็ก" ยังพ่ายแพ้ในรอบก่อนรองชนะเลิศของศึกยูโร 2024 ที่เล่นในบ้านตัวเองอีกด้วย
ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ นายใหญ่คนหนุ่มไฟแรง ยังไม่สามารถที่จะปลุกปั้น "อินทรีเหล็ก" ให้กลับมาเป็นชาติที่แข็งแกร่ง และพวกเขาต้องพบกับความยากลำบากพอสมควรในรอบคัดเลือก
แม้ว่าแชมป์โลก 4 สมัยจะมีผู้เล่นฝีเท้าชั้นยอดมากมายอยู่ในทีมก็ตาม แต่ก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับความแข็งแกร่งในเกมรับและผู้รักษาประตู ซึ่งนี่เป็นโจทย์สำคัญที่ นาเกิลส์มันน์ ต้องยกระดับให้ดีขึ้น
6. บราซิล
แชมป์โลก 5 สมัยอย่าง บราซิล เป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์เสมอ แม้ว่าฟอร์มการเล่นของพวกเขาล่าสุดในศึกฟุตบอลโลก และ โคปา อเมริกา จะน่าผิดหวังอย่างมากก็ตาม
สำหรับในทัวร์นาเมนต์เวิลด์ คัพ ทัพ "เซเลเซา" ไม่เคยผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศนับตั้งแต่ปี 2002 และผิดหวังกับการตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายสองครั้งล่าสุด พวกเขาผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โคปา อเมริกา ครั้งล่าสุด เมื่อปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่อเมริกาเหนือ
การได้ คาร์โล อันเชลอตติ เข้ามากุมบังเหียนทำให้ บราซิล มีความหวังอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อดูสถิติของ "คาร์เล็ตโต้" ในการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ แต่ บราซิล ก็เหมือนกับ เยอรมนี ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว
โชคดีที่พวกเขามีแนวรุกที่สุดอันตรายซึ่งสามารถเล่นงานแนวรับคู่แข่งได้ตลอด เพราะนักเตะอย่าง โรดรีโก้, วินิซิอุส จูเนียร์, ราฟินญ่า, มาเตอุส คุนญ่า, ชูเอา เปโดร และอีกหลายๆ คน สามารถจัดการกระซวกตาข่ายได้ทันทีหากมีโอกาสเพียงเสี้ยววินาที
5. โปรตุเกส
โปรตุเกส เป็นอีกชาติที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกเลย แม้พวกเขาจะสามารถยกระดับผลงานในทัวร์นาเมนต์บนแผ่นดินยุโรป ทั้งคว้าแชมป์ยูโร 2016 และ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2 สมัย (2019, 2025)
ทัพ "ฝอยทอง" อุดมไปด้วยนักเตะระดับคุณภาพมากมายนำโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ชูเอา เนเวส, วิตินญ่า และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เป็นต้น ซึ่งผู้เล่นเหล่านี้มีทั้งคุณภาพและประสบการณ์ระดับสูงมาแล้ว
กุนซือโรแบร์โต้ มาร์ตีเนซ จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองในรอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลก แต่ก็อย่างเพิ่งคาดหวังอะไรไปไกล เนื่องจาก โปรตุเกส มันจะไปไม่ไกลกว่ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ในฟุตบอลโลก 4 ครั้งที่ผ่านมา
4. อังกฤษ
แฟนบอลทีมชาติอังกฤษ คาดหวังมาตลอดว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในศึกฟุตบอลโลกอีกสมัย หลังทำได้ล่าสุดเมื่อปี 1966 ช่วงที่ผ่านมาทัพ "สิงโตคำราม" ต้องพบกับความผิดหวังมาตลอดในการแข่งขันระดับชาติมากกว่า 60 ปีที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่าเวลาที่จะแก้ไขความเจ็บปวดนี้จะใกล้เข้ามาเร็วกว่าที่คิด ภายใต้การคุมทีมของแกเร็ธ เซาธ์เกต อังกฤษเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูโร 2020 และ 2024 โดยแพ้อิตาลีและสเปนอย่างเฉียดฉิวตามลำดับ พวกเขาจบอันดับสี่ในฟุตบอลโลก 2018 และพ่ายต่อแชมป์เก่า ฝรั่งเศส ในรอบก่อนรองชนะเลิศสี่ปีต่อมา
โธมัส ทูเคิ่ล ซึ่งเข้ามารับงานแทน เซาธ์เกต เริ่มต้นการคุมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม และ อังกฤษ โชว์ฟอร์มได้อย่างสมบูรณ์แบบในรอบคัดเลือก โดยเป็นทีมที่แข็งแกร่งทั้งเกมรับ และเกมรุก ด้วยการชนะรวด 8 เกมและไม่เสียประตูในรอบคัดเลือก ดังนั้น "ทรี ไลอ้อนส์" ยุคกุนซือชาวเยอรมัน เป็นทีมที่น่าจับตามองอย่างมาก
3. ฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส แชมป์โลกปี 2018 ถูกมองว่าเป็นทีมที่มีขุมกำลังดีที่สุดในวงการฟุตบอลระดับชาติ แต่สิ่งนั้นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จเสมอไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
กุนซือดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ยังไม่สามารถพาทัพ "เลส์ เบลอส์ คว้าแชมป์ในสามทัวร์นาเมนต์ใหญ่ล่าสุดได้ แม้ว่าเขาจะพาทีมเข้าชิงฟุตบอลโลก 2022 ก่อนถูกอาร์เจนตินาเอาชนะก็ตาม
ทัพ "ตราไก่" มักเป็นทีมที่น่ากลัวเสมอในศึกยูโรและฟุตบอลโลก โดยสไตล์การเล่นที่เน้นผลลัพธ์ของ เดส์ชองส์ เหมาะอย่างยิ่งกับการแข่งขันแบบน็อกเอาต์ พวกเขาอาจไม่ได้เล่นฟุตบอลเกมรุกไหลลื่นตลอดเวลา แต่ก็มักจะอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์เสมอ
ฝรั่งเศส โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในรอบคัดเลือก โซนยุโรป และเต็มไปด้วยขุมกำลังระดับคุณภาพทั้งทีม อาทิเช่น คีลิยัน เอ็มบัปเป้, อุสมาน เดมเบเล่ และไมเคิ่ล โอลิเซ่ เป็นต้น จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมให้ทัพ "ตราไก่" ในช่วงซัมเมอร์หน้าอย่างแน่นอน
2. สเปน
หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้ กุนซือคนเก่งทีมชาติสเปน ได้เปลี่ยนแปลงทัพ "กระทิงดุ" อย่างสิ้นเชิงนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ เขาพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ปี 2023 และคว้าแชมป์ยูโร 2024 ได้สำเร็จ และแน่นอนว่าเขาต้องการสานต่อช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมนี้ในฟุตบอลโลก
สเปน ซึ่งคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 2010 ต้องเจอกับความยากลำบากในฟุตบอลโลกช่วงที่ผ่านมา พวกเขาไปไกลไม่เกินรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3 ครั้งหลังสุด อย่างไรก็ตาม ทัพ "กระทิงดุ" ชุดนี้มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป พวกเขามีศักยภาพครบเครื่องที่จะเดินรอยตามทีมสุดแกร่งของบิเซนเต้ เดล บอสเก้ ในช่วงปลายยุค 2000 และต้นยุค 2010 ได้
ทัพ "ลา โรฆ่า" มีเกมรับที่ขยัน, ทุ่มเท และเล่นเป็นระบบ ขณะที่แดนกลางก็เต็มไปด้วยเทคนิคแต่แข็งแกร่ง สำหรับแนวรุกมีตัวเลือกมากมาย โดยเฉพาะ ลามีน ยามาล และ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ที่เป็นตัวริมเส้นซึ่งอันตรายมากๆ
1. อาร์เจนตินา
เป็นเรื่องยากที่จะมองข้าม อาร์เจนตินา แชมป์เก่า ในฐานะทีมเต็งหนึ่ง โดยทัพ "ฟ้าเขาว" คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1986 ด้วยชัยชนะประเทศกาตาร์ โดยความสำเร็จในครั้งนี้เป็นการเติมเต็มความฝันของ ลิโอเนล เมสซี่
ฟุตบอลโลก 2026 อาจเป็นบทส่งท้ายครั้งสุดท้ายของ เมสซี่ กับทีมชาติอาร์เจนตินา และมันจะเป็นการอำลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 8 สมัย หากทัพบ้านเกิดสามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่สี่ได้สำเร็จ
กุนซือลิโอเนล สกาโลนี่ คือผู้อยู่เบื้องหลังการพา อาร์เจนตินา กลับสู่จุดสูงสุด และมีผลงานแทบไร้ที่ติในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ เขาคว้าแชมป์โคปา อเมริกา 2 สมัย (2021, 2024) ต่อยอดจากความสำเร็จในฟุตบอลโลก (2022) และแทบไม่มีทีมใดเทียบชั้นทัพ "ฟ้าขาว" ได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
หากไม่มีอะไรพลิกโผก่อนทัวร์นาเมนต์ที่สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก แน่นอนว่ากูรูและคอลูกหนังส่วนใหญ่ยกให้ อาร์เจนตินา เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 2026
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄