จากหมู่เกาะภูเขาไฟที่เพิ่งเป็นเอกราชเมื่อปี 1975 สู่การสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลก 2026 ได้สำเร็จ — “เคปเวิร์ด” ประเทศที่มีประชากรเพียง 525,000 คน พิสูจน์แล้วว่าความพยายามและวิสัยทัศน์ยาวไกล เปลี่ยนฝันเล็กให้เป็นจริงได้
หมู่เกาะเคปเวิร์ด ประเทศหมู่เกาะภูเขาไฟ 10 เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เพิ่งเป็นอิสระจากโปรตุเกสเมื่อปี 1975 และเพิ่งไปเป็นสมาชิกฟีฟ่าในปี 1986 แต่กลับกล้าหาญกลายเป็น 1 ใน 48 ชาติที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเวิลด์คัพ 2026 แบบสุดทึ่งอย่างเหลือเชื่อ
วันนี้ 'SIAMSPORT' ขอพาคุณไปทำความรู้จักถึงเบื้องลึก-เบื้องหลังของ 'ประวัติศาสตร์' บทใหม่ที่พวกเขาได้เขียนขึ้นเอง เรื่องราวจะเป็นเช่นไร เชิญคุณเลื่อนสายตาไปอ่านกันได้เลย
ในฐานะอดีตประเทศอาณานิคมของโปรตุเกส ทำให้หมู่เกาะแห่งนี้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมฟุตบอลมาแบบเต็มๆ
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่ากีฬาลูกหนังจึงเป็นที่นิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งฝังอยู่ในสายเลือดของผู้คน ณ ที่แห่งนี้
"คุณจะเห็นสนามฟุตบอลเล็กๆ อยู่ทั่วทุกแห่ง - บนชายหาด ริมแม่น้ำแห้ง หรือแม้แต่บนที่ราบบนภูเขา" เว็บไซต์ CapeVerdeIslands.org บรรยายถึงความหลงใหลนี้ไว้เช่นนั้น
ทว่า...ด้วยความที่ยังถือเป็นสมาชิกใหม่อยู่ ในห้วงแรกที่ได้เป็นสมาชิกฟีฟ่า (FIFA) ระหว่างปี 1986-1990 พวกเขามีเกมแข่งขันในระดับนานาชาติเพียงปีละ 2 แมตช์เท่านั้น ส่งผลให้อันดับโลกของพวกเขาในช่วงนั้นรั้งอยู่ราวๆ 180 กว่าๆ ของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย
ก้าวที่สำคัญในการพัฒนาฟุตบอลเคปเวิร์ด เกิดขึ้นจากการสนับสนุนทางการเงินจากโครงการ FIFA Forward ที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ทั้งในด้านการจัดการทีมชาติและการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการสร้างสนามหญ้าเทียมในเมืองซานตาครูซ บนเกาะซันติอาโก ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้ฝึกซ้อมและแข่งขันอย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ เงินทุนดังกล่าวยังช่วยในการปรับปรุงสนามอเดรีโต เซนา (Aderito Sena) บนเกาะซาววิเซนเต้ ด้วยห้องแต่งตัวใหม่และอัฒจันทร์ที่สะดวกสบาย จนสามารถรองรับการจัดแข่งเกมคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ได้
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงสำนักงานใหญ่และศูนย์ฝึกของสมาคมฟุตบอลให้ทันสมัยขึ้น
ล่าสุดเคปเวิร์ดยังได้เข้าร่วมโครงการ FIFA Series ซึ่งเป็นเวทีทดลองที่เปิดโอกาสให้ทีมจากสมาพันธ์ต่างๆ ได้ลงเล่นเกมกระชับมิตรระหว่างกัน เพื่อพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
เคนนี ฌอง-มารี ผู้อำนวยการฝ่ายสมาคมสมาชิกของฟีฟ่า อธิบายว่า โครงการ FIFA Forward ไม่ใช่แค่การให้ทุน แต่คือความร่วมมือใกล้ชิดที่ทำงานร่วมกันเพื่อวางกลยุทธ์และโครงการที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
นับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา สมาคมฟุตบอลเคปเวิร์ด (FCF) เริ่มมีทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่จะพัฒนาฟุตบอลในระยะยาวอย่างชัดเจน โดยกุญแจสำคัญคือการวางยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการค้นหาและดึงดูดผู้เล่นเชื้อสายเคปเวิร์ดจากทั่วโลกเข้ามาเสริมทีม
โทนี อาเราโย เอเยนต์ลูกหนังชาวอเมริกันเชื้อสายเคปเวิร์ด เผยว่า "สมาคมได้วางแผนเชิงกลยุทธ์ในการระบุและสรรหาผู้เล่นจากชุมชนชาวเคปเวิร์ดทั่วโลก"
ความพยายามนั้นเริ่มเห็นผลจริงจังในปี 2013 เมื่อพวกเขาผ่านเข้าเล่นแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นการจุดประกายความฝันครั้งใหญ่ให้กับคนทั้งชาติ
มาริโอ เซเมโด ประธานสมาคมฟุตบอลเคปเวิร์ด กล่าวถึงความสำเร็จนี้ด้วยความภูมิใจว่า "นี่คือความฝันที่กลายเป็นจริง เราทุ่มเทอย่างหนัก โดยเฉพาะสนามในเมืองซานตาครูซ"
ด้วยความที่เคปเวิร์ดเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดและภูมิประเทศแห้งแล้ง ทำให้คนจำนวนมากต้องอพยพไปตั้งถิ่นฐานในต่างแดนมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมโปรตุเกส - ทั้งในโปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, ไอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา
ผลที่ตามมาคือทีมชาติชุดปัจจุบันของเคปเวิร์ด จึงมีผู้เล่นจำนวนมากที่เกิดในต่างประเทศ
นี่คือเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามสุดทึ่ง เมื่อโรแบร์โต 'ปีโก้' โลเปซ ปราการหลังจาก แชมร็อก โรเวอร์ส (ไอร์แลนด์) เล่าว่า เขาได้รับการติดต่อให้เล่นให้ทีมชาติผ่านเว็บไซต์ LinkedIn
"ตอนนั้นผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และมีบัญชี LinkedIn ที่ไม่ค่อยได้เข้าไปดู วันหนึ่งมีโค้ชชื่อ รุย อากวาส ส่งข้อความมาภาษายาวเหยียดเป็นโปรตุเกส ผมคิดว่าเป็นสแปมเลยไม่สนใจ"
"ผ่านไปเกือบ 9 เดือน เขาทักกลับมาว่า 'โรแบร์โต คุณได้อ่านข้อความของผมหรือยัง?' ผมเลยลองก็อปข้อความไปใส่ Google Translate ถึงรู้ว่าเขากำลังชวนให้ผมเล่นให้ทีมชาติ ตอนนั้นผมตื่นเต้นสุดๆ เลยตอบกลับทันทีว่า 'แน่นอน ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีม'"
เรื่องเล่านี้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการตามหาผู้เล่นทุกวิถีทางของสมาคมอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นประเทศหมู่เกาะเล็กๆ แต่เคปเวิร์ดมีระบบฟุตบอลลีกในประเทศที่แข็งแกร่งและเอื้ออำนวยต่อการพัฒนา
ภายใต้เนื้อที่ 4,033 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะ 10 เกาะ และ 9 เกาะมีลีกของตัวเอง ส่วนอีก 2 เกาะ (ซันติอาโก และ ซานโตอันเตา) ยังแบ่งเป็นโซนเหนือ-ใต้ จัดลีกแยกกัน
เมื่อจบแต่ละลีก แชมป์จากทั้ง 11 ลีก (รวมกับรองแชมป์ของลีกซาววิเซนเต้) จะถูกจับสลากเข้าสู่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เพื่อเฟ้นหา 'แชมป์' ของประเทศ
ระบบนี้ช่วยให้ฟุตบอลดำเนินต่อเนื่องตลอดปี นักเตะมีเกมให้ลงเล่นต่อเนื่อง และยังเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความลึกของขุมกำลังที่กระจายอยู่ทั่วเกาะทั้งสิบอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญก่อนจะก้าวไปสู่การเป็นนักเตะอาชีพในยุโรป
ความสามารถทางฟุตบอลของชาวเคปเวิร์ด ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในทีมชาติชุดปัจจุบันเท่านั้น แต่เชื้อสายของพวกเขายังถูกส่งต่อไปยังนักเตะระดับโลกหลายคนที่เลือกเล่นให้กับชาติยักษ์ใหญ่ของยุโรป
หนึ่งในนักเตะระดับตำนานที่แม้จะเลือกเล่นให้ชาติอื่น แต่ยังคงมีความผูกพันกับเคปเวิร์ดอย่างลึกซึ้งคือ เกลสัน แฟร์นานเดส ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสมาคมสมาชิกแอฟริกาของฟีฟ่า
เขาเกิดที่กรุงไปรอา (Praia) และเติบโตในเมืองซานตาครูซ ก่อนย้ายไปยุโรป และประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพค้าแข้ง
"แม้ผมจะได้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศ แต่หัวใจผมยังอยู่ที่นี่เสมอ หมู่เกาะเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของตัวตนของผม"
แฟร์นานเดสย้ำว่าการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกคือ 'กุญแจสำคัญ' ในการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เล่นฟุตบอลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และฝากข้อความถึงเยาวชนทั่วประเทศว่า "จงเชื่อในตัวเอง เชื่อว่ามันเป็นไปได้ ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬา แต่มันคือบทเรียนชีวิต - เคารพผู้อื่น ซื่อสัตย์ มีความมุ่งมั่น และมีใจรักในสิ่งที่ทำ"
การขยายโควต้าฟุตบอลโลกจากเดิม 32 เพิ่มเป็น 48 ทีม เปิดโอกาสให้ชาติเล็กๆ อย่างเคปเวิร์ด ใช้วินัย, แผนงาน และความมุ่งมั่นคว้าฝันนี้มาได้
ความสำเร็จในการผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะในสนาม แต่เป็นผลลัพธ์ของการทำงาน, การลงทุน, การร่วมมือกับฟีฟ่า และพัฒนาฟุตบอลในประเทศมาอย่างยาวนาน
พวกเขาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเยาวชน ซึ่งมันช่วยสร้างระบบที่ยั่งยืน รวมทั้งยังหล่อหลอมพรสวรรค์ท้องถิ่นให้เกิดขึ้นในทุกๆ วัน
นอกจากนี้ ภายใต้การคุมทีมของ เปโดร บริโต 'บุบิสตา' อดีตกองหลังทีมชาติยุคเริ่มต้น - เขาวางรากฐานด้วยระบบเกมรับที่เหนียวแน่น, แผนการเล่นที่เป็นระเบียบ และการเปลี่ยนเกมที่รวดเร็ว
การผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกครั้งแรกคือจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์การกีฬาของเคปเวิร์ด ความสำเร็จนี้สร้างความภาคภูมิใจในชาติ ที่เหนือกว่าฟุตบอล สะท้อนถึงความสามัคคีและความหวังสำหรับคนรุ่นใหม่
ด้วยทีมที่มีความสามัคคีและวิสัยทัศน์ชัดเจน - ฉลามน้ำเงิน (ฉายาทีมชาติ) มุ่งไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ด้วยความฝันที่จะสร้างประวัติศาสตร์ต่อ การเดบิวต์ในฟุตบอลโลกไม่เพียงเป็นรางวัลของความพยายามหลายปี แต่ยังเป็นหลักฐานว่า ความมุ่งมั่นและความตั้งใจระยะยาว สามารถเปลี่ยนความฝันเล็กๆ ให้กลายเป็นความจริงได้
เส้นทางการก้าวขึ้นมาของเคปเวิร์ด นั้นไม่ได้ก่อร่างสร้างขึ้นมาภายในวันเดียว หากแต่ใช้ 'ความพยายาม' อย่างไม่ลดละมานานพอสมควร
พวกเขาพิสูจน์แล้วในเวทีที่หินที่สุดของทวีปอย่างแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ได้เข้ารอบสุดท้ายมาแล้วถึง 4 ครั้ง (ปี 2013, 2015, 2021 และ 2023) โดยเคยทำผลงานได้ดีที่สุดคือการผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อปี 2013 และ 2023
การเข้าถึงรอบลึกๆ ในทัวร์นาเมนต์ที่เต็มไปด้วยยักษ์ใหญ่ของแอฟริกาอย่าง แคเมอรูน, เซเนกัล, อียิปต์, โมร็อกโก หรือ ไนจีเรีย ได้หลายครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าฉลามน้ำเงินไม่ได้เป็นเพียงทีมไม้ประดับอีกต่อไป ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ความพร้อมก่อนจะก้าวไปสู่เวทีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างฟุตบอลโลก 2026 อย่างแท้จริง
✓ ปัจจุบัน เคปเวิร์ดอยู่ในอันดับ 73 ของโลก ตามแรงกิ้งฟีฟ่า (ข้อมูล ณ วันที่ล่าสุด)
✓ จุดสูงสุดของพวกเขาคือ อันดับ 27 ในปี 2014 ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมเริ่มสร้างประวัติศาสตร์ในระดับทวีป
✓ ปีที่ ดิเอโก มาราโดนา ชูถ้วยแชมป์โลกที่เม็กซิโก 1986 - คือปีเดียวกับที่เคปเวิร์ดเข้าเป็นสมาชิกฟีฟ่า
✓ เพียงชาติเดียวที่มีประชากรน้อยกว่าเคปเวิร์ดที่เคยผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกคือ ไอซ์แลนด์ (ฟุตบอลโลก 2018)
✓ ทวีปแอฟริกา ได้โควต้าฟุตบอลโลก 2026 จำนวน 9 ทีมครึ่ง ซึ่งเคปเวิร์ดนั้นอยู่กลุ่มเดียวกับแคเมอรูน, ลิเบีย, อังโกลา, มอริเชียส และเอสวาตินี
✓ พวกเขาคว้าตั๋วเวิลด์คัพในฐานะแชมป์กลุ่ม D ด้วยผลงานชนะ 7 เสมอ 2 และแพ้ 1 ซึ่งมีแต้มเหนือตัวเต็งอย่างแคเมอรูนถึง 4 คะแนน (23 ต่อ 19)
✓ แม้จะยิงไปเพียง 4 ประตู ในรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา ทว่า ไดลอน ลิฟราเมนโต ศูนย์หน้าวัย 24 ปี ผู้เกิด ณ เมืองร็อตเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) ก็กลายเป็น 'ฮีโร่' ของเคปเวิร์ด โดยเฉพาะประตูชัยเหนือแคเมอรูน เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 ก็แทบจะพาทีมไปตะลุยเวิลด์คัพ 2026 แล้ว
✓ เมืองหลวงของเคปเวิร์ดคือกรุงไปรอา (Praia) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนักเตะดังหลายคน
✓ ชื่อประเทศในภาษาโปรตุเกสคือ Cabo Verde (แปลว่า แหลมเขียว) ซึ่งมาจากชื่อแหลมเวอร์เด ในทวีปแอฟริกา ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน
เรียบเรียง: ทีมข่าว SIAMSPORT