ครบหนึ่งปีเต็มกับ ยุค ทูเคิ่ล ทีมชาติอังกฤษ ภายใต้ชายผู้หมกมุ่นในรายละเอียด และหลงใหลในโครงสร้างการเล่นฟุตบอลอย่างแท้จริง
8 ตุลาคมปีที่แล้ว สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ประกาศแต่งตั้ง โธมัส ทูเคิ่ล เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างเป็นทางการ หลังจากใช้เวลาสั้น ๆ กับ ลี คาร์สลีย์ ที่รับหน้าที่รักษาการ
ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนผ่านนั้นไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโค้ช แต่คือการเปลี่ยนแนวคิดของทีมชาติทั้งระบบ
ทูเคิ่ล เข้ามาในช่วงเวลาที่ทีมชาติอังกฤษกำลังอิ่มตัวพอดี
ผลงานใน ยูโร 2024 ภายใต้ แกเร็ธ เซาธ์เกต จบลงด้วยความรู้สึกค้างคา แม้ทีมจะมีศักยภาพระดับแชมป์ แต่ขาดพลังสร้างสรรค์และความกล้าสำหรับการเปลี่ยนเกม
ดังนั้นสิ่งที่แฟนบอลและ เอฟเอ ต้องการไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่คือเอกลักษณ์ใหม่ที่สะท้อนให้เห็นว่า อังกฤษ ไม่ใช่ทีมที่เล่นเพื่อไม่แพ้ แต่เล่นเพื่อชนะ
เมื่อ ทูเคิ่ล เข้ามา เขาถูกตั้งคำถามมากมาย ทั้งจากสื่อและจากในห้องแต่งตัวเองว่า
"จะทำอย่างไรให้ทีมชาติอังกฤษภายใต้โค้ชชาวเยอรมันคนนี้ ก้าวไปถึงระดับแชมป์โลกภายในเวลาเพียง 18 เดือน?"
และช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นี่คือ 6 คำถามใหญ่ ที่เขาค่อย ๆ ตอบผ่านทั้งสนามซ้อม, ห้องแต่งตัว และพื้นที่ข้างสนาม
1. จะพา อังกฤษ คว้าแชมป์โลกภายใน 18 เดือนได้อย่างไร ?
สิ่งแรกที่ ทูเคิ่ล ต้องต่อสู้ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือเวลา
เขาเริ่มงานอย่างเป็นทางการวันที่ 1 มกราคม ภายใต้สัญญา 18 เดือน ซึ่งกรอบเวลาจะหมดลงพร้อมฟุตบอลโลก ซัมเมอร์หน้า หมายความว่า เขามีเวลาเพียง 6 แคมป์ทีมชาติ หรือราว 60 วัน ในการรวมนักเตะไว้ด้วยกัน
เมื่อหักเวลาการเดินทางและวันแข่งขันจริงออกไป เหลือเวลาอยู่ในสนามซ้อมจริงประมาณ 24 วัน และในเวลาเท่านี้ เขาต้องเปลี่ยนทั้งระบบแท็กติก และจิตวิทยาทีมให้พร้อมสำหรับภารกิจใหญ่ที่สุดบนวงการฟุตบอล
"เราต้องเรียนรู้กันอย่างเร่งด่วน เหมือนเข้าอบรมคอร์สเร่งรัดของฟุตบอลระดับสูง" ทูเคิ่ล กล่าวในวันแรกของการรวมทีม
แต่ฟุตบอลทีมชาติไม่เหมือนสโมสร คุณไม่สามารถซ้อมทุกวัน, ปรับระบบทุกสัปดาห์ หรือสร้างโมเมนตัมต่อเนื่องได้
ไม่นานเขาก็ได้เรียนรู้ว่า การยัดข้อมูลมากเกินไปกลับทำให้บางคนรับไม่ไหว ยิ่งกับนักเตะที่มาจากทีมซึ่งเล่นคนละขั้วอย่าง แมนฯ ซิตี้ หรือ นิวคาสเซิ่ล
พอครบสองแคมป์ ทูเคิ่ล จึงเปลี่ยนจังหวะ, ลดรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ทำภาษาให้ตรงและง่ายขึ้น แล้วพุ่งเป้าไปที่แกนสำคัญของระบบ เช่น
การต่อบอลในพื้นที่จำกัด
การเพรสซิ่งในจังหวะเปลี่ยนเกม
และการสร้างความเข้าใจระหว่างแนวรับกับกองกลาง
เขาไม่พยายามสร้างอะไรใหม่ภายในเวลาอันสั้น แต่เลือกสร้างระบบที่เดินได้จริงภายใต้ข้อจำกัดของทีมชาติ
และจากเสียงตอบรับของนักเตะซีเนียร์หลายคนยอมรับว่า แม้เวลาจะน้อย แต่ความชัดเจนของ ทูเคิ่ล ทำให้ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ไม่มีใครในทีมชาติอังกฤษ พูดคำว่าไม่เข้าใจหน้าที่ของตัวเองอีกเลย
2. จะปลุกพลังให้สไตล์การเล่นกลับมามีชีวิตชีวาได้อย่างไร?
อังกฤษ ยุค เซาธ์เกต คือทีมที่มีระเบียบ มีแท็กติก และแทบไม่เสียบอลโดยไม่จำเป็น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นทีมที่ถูกวิจารณ์ว่าเน้นปลอดภัยเกินไป
ทูเคิ่ล เข้ามาพร้อมคำมั่นว่า "ผมอยากเห็นทีมที่กล้าเดินหน้า กล้าเพรส และกล้าเสี่ยงมากกว่าเดิม"
สองเกมแรกของเขาจบด้วยชัยชนะเหนือ แอลเบเนีย และ ลัตเวีย แต่ยังไม่เห็นจังหวะเกมที่แตกต่างมากนัก
กระทั่ง เกมกระชับมิตพ่าย เซเนกัล 1-3 เสียงวิจารณ์เริ่มดังขึ้นว่า ทูเคิ่ล อาจคิดเยอะไป
เดือนกันยายน กลายเป็นจุดเปลี่ยน เขาปรับแนวทางใหม่ทั้งหมด เน้นจังหวะการเปลี่ยนจากรับเป็นรุก การเล่นเร็วในแดนกลาง และการเพรสซิ่งสูงแบบทีม พรีเมียร์ลีก
ผลคือ อังกฤษ บุกถล่ม เซอร์เบีย 5-0 ที่เบลเกรด และมันคือเกมที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นี่แหละ ฟุตบอลแบบที่อยากเห็นมานาน"
ทูเคิ่ล กล่าวหลังเกมนั้นว่า "เราลงเล่นเหมือนทีมในพรีเมียร์ลีก ดุดัน รวดเร็ว และมีจังหวะที่ต่อเนื่อง"
จากทีมที่เคยดูอืดและขาดพลัง กลายเป็นทีมที่แฟนบอลเริ่มกลับมารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทูเคิ่ล ทราบดีว่า ความท้าทายต่อไปคือจะรักษาความเข้มข้นแบบนี้ไว้ได้ไหม โดยเฉพาะทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ที่ต้องเจอกับทีมที่ตั้งรับลึกและสภาพอากาศร้อนจัดในอเมริกาเหนือช่วงซัมเมอร์หน้า
3. จะฟื้นบรรยากาศในทีมให้กลับมาดีได้อย่างไร?
ทูเคิ่ล ไม่เพียงวิเคราะห์ฟุตบอลจากมุมแท็กติก แต่ยังใส่ใจอารมณ์และพลังของทีมมากเป็นพิเศษ
เขามองว่า อังกฤษในยูโร 2024 แพ้เพราะเล่นด้วยความกลัวมากกว่าความกระหาย
"พวกเขากลัวที่จะแพ้ มากกว่าจะอยากชนะ" เขาพูดไว้อย่างตรงไปตรงมา
และเพื่อลบภาพนั้น เขาเริ่มต้นจากการคืนความเชื่อในห้องแต่งตัว
เขาเรียก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง หลังหลุดไปนานกว่า 18 เดือน เพราะเชื่อว่า เฮนโด้ ยังเป็นหัวใจของบรรยากาศในทีม
แม้จะอายุ 35 ปี แต่บทบาทของ เฮนเดอร์สัน ชัดเจน ไม่ใช่แค่ในสนาม แต่คือผู้นำโดยธรรมชาติที่ทำให้คนอื่นกล้าพูด, กล้าคิด และกล้าทำ
"เมื่อเฮนโด้พูด ทุกคนจะฟัง" คำพูดนี้สะท้อนความจริงที่สุดในแคมป์ทีมชาติ
หลังแคมป์เดือนมิถุนายนที่น่าผิดหวัง เดือนกันยายน ทูเคิ่ล พา อังกฤษ กลับมาซ้อมด้วยพลังที่สดใหม่ เขาชื่นชมทัศนคติของนักเตะ โดยเฉพาะคนที่นั่งสำรองแต่ยังคงส่งเสียงเชียร์และให้พลังกับทีม
แฮร์รี่ เคน ถึงกับบอกว่า "นี่คือแคมป์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ แกเร็ธ ลาออกไป"
มันไม่ใช่คำชมเล่น ๆ แต่นั่นคือสัญญาณว่า ทูเคิ่ล ไม่เพียงเปลี่ยนระบบ แต่เปลี่ยนบรรยากาศของทีมชาติอังกฤษ ให้กลับมาเหมือนยุคที่ทุกคนภูมิใจในเสื้อสิงโต 3 ตัวอีกครั้ง
4. จะสร้างทีมโดยยึดจากซูเปอร์สตาร์หรือความลงตัว?
อังกฤษ คือชาติที่มักถูกหลอกโดยชื่อชั้นของนักเตะ
ยุค เจอร์ราร์ด–แลมพาร์ด คือภาพจำที่ยังชัดเจนที่สุด สองยอดมิดฟิลด์แห่ง พรีเมียร์ลีก ที่เล่นร่วมกันแล้วไม่ลงตัว
เซาธ์เกต เคยเหมือนจะพาทีมหลุดพ้นจากวังวนนี้ แต่ใน ยูโร 2024 เขากลับหันกลับไปยึดชื่อเสียงอีกครั้ง ด้วยการจับ ฟิล โฟเด้น, จู๊ด เบลลิงแฮม และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงพร้อมกันในระบบเดียว
แต่สำหรับ ทูเคิ่ล เขาเลือกเดินอีกทางทันที เขาไม่ลังเลที่จะดร็อปสตาร์ดัง แม้จะเสี่ยงต่อแรงกดดันจากสื่อ
เทรนต์ ถูกวิจารณ์ตรง ๆ ว่าต้องจริงจังกับเกมรับมากกว่านี้ ก่อนหลุดจากทีม
โฟเด้น ก็ไม่ได้กลับมาติดทีมอีกเลยหลังจากสองเกมแรก ขณะที่ โคล พาล์เมอร์ เพิ่งได้โอกาสเกมเดียวก่อนเจ็บ
และเมื่อมีคนถามว่า "ทีมชาติอังกฤษ จะประสบความสำเร็จได้ไหม หากไม่มีนักเตะสร้างสรรค์เกมที่เก่งที่สุดอยู่ในทีม?"
เขาตอบสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า "เรากำลังสร้างทีมที่ดีที่สุด ไม่ใช่รวบรวมนักเตะที่ดีที่สุด"
5. แล้วจะจัดการกับ จู๊ด เบลลิงแฮม อย่างไร?
นี่คือประเด็นที่ทุกคนในอังกฤษพูดถึง
เบลลิงแฮม คือตัวแทนของฟุตบอลยุคใหม่ ดาวรุ่งวัย 22 ปีที่มีครบทั้งพรสวรรค์, ความมั่นใจ และบุคลิกความเป็นผู้นำ แต่ก็มีด้านที่ต้องจัดการ คือขาเป็นคนที่ร้อนแรง และบางครั้งก็แยกตัวจากกลุ่มเพื่อนในทีมชาติ
ทูเคิ่ล ยอมรับว่าพฤติกรรมของเขาบางครั้งก็น่าอึดอัด ก่อนจะขอโทษในภายหลัง แต่ยังยืนยันว่า "พลังของเขาต้องถูกใช้ในทิศทางที่ถูกต้อง ไปที่คู่แข่ง ไม่ใช่เพื่อนร่วมทีม"
ระบบของ ทูเคิ่ล เบลลิงแฮม จะถูกใช้ในตำแหน่งหมายเลข 10 ยืนสูงกว่าคู่กลางอย่าง เดแคลน ไรซ์ และ เอลเลียต แอนเดอร์สัน ซึ่งเล่นร่วมกันได้ดีในทีมชาติ
อย่างไรก็ตาม ดาวเตะจาก เรอัล มาดริด ยังต้องแย่งตำแหน่งกับ มอร์แกน โรเจอร์ส จาก แอสตัน วิลล่า ที่ฟอร์มขึ้นหม้อจนยึดตัวจริง
ขณะเดียวกัน เฮนเดอร์สัน ออกมาปกป้องรุ่นน้องว่า "มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้ว่า เบลลิงแฮม เป็นคนยังไง เขาไม่ใช่แค่ผู้เล่นระดับโลก แต่ยังเป็นคนที่ยอดเยี่ยมระดับโลกด้วย"
และทั้งหมดนี้สะท้อนถึงสิ่งที่ ทูเคิ่ล พยายามสร้างทีมชาติที่เต็มไปด้วยสมดุลระหว่างพลังและวุฒิภาวะ
6. จะยืนหยัดในหลักการของตัวเองได้อย่างไร?
ชัยชนะ 5-0 ที่ เบลเกรด ไม่เพียงเป็นผลการแข่งขัน
แต่มันคือจุดที่ ทูเคิ่ล สามารถขีดเส้นแบ่งได้อย่างชัดเจนว่าทีมชาติอังกฤษ ภายใต้การคุมทัพของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หลังเกมนั้น เขาเลือกที่จะไม่เปลี่ยนทีม ชุดผู้เล่นจากเดือนกันยายน ถูกเก็บไว้เกือบทั้งหมดสำหรับเดือนตุลาคม มีเพียงการเปลี่ยนแปลงเดียวคือ บูกาโย่ ซาก้า มาแทน โนนี่ มาดูเอเก้ ที่บาดเจ็บ
ไม่มีพรมแดงสำหรับ เบลลิงแฮม หรือ โฟเด้น
ไม่มีอภิสิทธิ์จากชื่อเสียงบารมี
"ในฐานะโค้ช ถ้าคุณอยากมีความน่าเชื่อถือ คุณต้องทำในสิ่งที่คุณพูดจริง ๆ" ทูเคิ่ล พูดไว้แบบนั้น และสิ่งที่เขาทำก็ยืนยันชัดว่าเขา walk the talk (พูดแล้วต้องทำให้ได้) จริง ๆ
...
ครบหนึ่งปีของ โธมัส ทูเคิ่ล กับเก้าอี้กุนซือทีมชาติอังกฤษ เขาอาจยังไม่มีถ้วยแชมป์ใดให้ชู แต่สิ่งที่เขาสร้างคือทิศทาง
อังกฤษ ชุดนี้เริ่มมีโครงสร้าง มีระบบ และมีตัวตนบนสนามอย่างที่แฟนบอลอยากเห็นมานาน พวกเขากล้าเล่น กล้าบุก และเริ่มเชื่อว่าตัวเองสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้จริง
คำถามใหญ่ทั้งหกข้ออาจยังไม่ถูกตอบจนหมด แต่ในทุกแคมป์ ทุกเกม และทุกการตัดสินใจ ทูเคิ่ล กำลังตอบมันอยู่ ทีละคำถาม ทีละก้าว
และเมื่อฟุตบอลโลก 2026 มาถึง บางทีคำตอบสุดท้าย อาจอยู่ในค่ำคืนวันที่ 19 กรกฎาคม วันที่เขาฝันไว้ตั้งแต่วันแรกที่เซ็นสัญญา
HOSSALONSO