"ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมได้รับความรักที่บาร์เซโลน่า และยังคงได้รับมันอยู่.. ความฝันอีกอย่างหนึ่งของผมคือผมอยากจะได้รับมันบ้างที่นี่ ที่ประเทศของผม กับผู้คนของผม.."
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความอาลัยและใจหาย หลายคนคงสะอึกกับคำพูดนี้ของ ลิโอเนล เมสซี่
ในวันที่โลกหยาบกระด้าง คนพร้อมจะเอาความคิดของตัวเองไปตัดสินผู้อื่น พร้อมจะพ่นความรู้สึกเกลียดชังออกมาในทันที พร้อมจะระบายความขุ่นมัวในทันควันเพียงกดปุ่มเอนเทอร์ ไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ กับคำพูดของตน ไม่ต้องสนใจด้วยว่าถ้อยคำนั้นจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ไม่ต้องมีมารยาท ไม่ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ
มลพิษทางคำพูดเหล่านั้น.. ไม่ใช่ว่าคนที่ตกเป็นเป้าหมายจะไม่รับรู้
เขารู้ แต่แค่เพียงเขาต้องอดทนกับมัน อยู่กับมันให้ได้
ก็กระทั่งคนอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ที่แทบจะไม่เคยทำตัวเป็นปัญหาอะไรเลยและอยู่ในสถานะที่แตะต้องไม่ได้สำหรับชาวอาร์เจนติน่าในเวลานี้ ครั้งหนึ่งยังเคยถูกหยามเหยียดด้อยค่าด้วยอารมณ์ดิบจากเพื่อนร่วมชาติบางคนในวันที่หกล้ม
แพ้ชิลีในนัดชิงโกปา อเมริกา 2 ปีซ้อน เมสซี่เล่นไม่ออก ยิงจุดโทษไม่เข้า เขาโดนเพื่อนร่วมชาติบางกลุ่มด่าว่าไม่ทุ่มเทให้ทีมชาติมากพอ เพราะไปอยู่บาร์เซโลน่าตั้งแต่เด็ก ๆ หัวใจจึงมอบให้คาตาลันมากกว่าที่จะมาทุ่มเทให้ทีมฟ้าขาว
วันไหนก็ตามที่เล่นไม่ดีหรือทีมไม่ชนะ เมสซี่จะเป็นคนแรก ๆ เสมอที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวการ เป็นแพะตัวเขื่องสำหรับคนที่ต้องการหาคนผิดให้ได้
แล้วข้อกล่าวหาทั้งหลายก็จะตามมา ไม่ช่วยเกมรับบ้างล่ะ ให้คนอื่นวิ่งบ้างล่ะ แก่แล้วหมดแล้วบ้างล่ะ และแน่นอนที่คลาสสิกตลอดกาลก็เรื่องรักบาร์เซโลน่ามากกว่าบ้านเกิดนี่แหละ
ถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นในสนามยังพอว่า นักฟุตบอลรับได้เพราะมันเห็นกันด้วยตา บางวันเล่นดี บางวันเล่นแย่ แต่การกล่าวหากันชุ่ย ๆ ว่าไม่ทุ่มเทให้ทีมชาติอย่างนี้คือความหยาบกร้านของจิตใจ ขอแค่ให้กูได้ระบาย ได้ด่า ได้เกลียด มึงจะเสียหายอย่างไรเรื่องของมึง เป็นคนสาธารณะก็ต้องรับให้ได้ แล้วมันไม่จริงหรือไง ก็เห็น ๆ กันอยู่
สารพัดสารพันคำพูดที่ผ่านออกมาตรง ๆ จากความรู้สึก พ่นได้ทันทีโดยไม่ต้องกลั่นกรองอะไร
แฟนบอลผิดหวังที่แพ้ เสียใจที่ไม่ได้แชมป์ นั่นคือเรื่องปกติ แฟนบอลหงุดหงิด อยากมีที่ระบาย นั่นก็เรื่องธรรมดา แต่พวกเขาบางคนเหล่านั้นคงจะลืมคิดไปว่านักฟุตบอลก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ผิดหวังเสียใจที่แพ้เช่นกัน และไม่ใช่กระโถนรองรับอารมณ์ของใคร
พวกเขาก็มีหัวใจเหมือนทุก ๆ คน.. เราคงไม่ลืมภาพในวันนั้นที่เมสซี่ต้องร่ำไห้ประกาศเลิกเล่นทีมชาติด้วยหัวใจที่แตกสลาย
เป็นเรื่องน่าเศร้านะครับที่เรื่องซึ่งดูไร้สาระนี้ยังค้างคาอยู่ในใจของ ลิโอเนล เมสซี่ เขาถึงได้พูดมันออกมาในวันสุดท้ายที่ลงสนามต่อหน้าแฟนบอลร่วมชาติ
คำพูดจากความเกลียดชัง สามารถฝังอยู่ในใจคนที่เป็นเหยื่อได้นานกว่าที่คิด
"มีคำพูดและข้อถกเถียงมากมายเลยนะตลอดหลายปีนั้น แต่ผมขอเลือกที่จะจดจำแต่สิ่งดี ๆ ที่เราทั้งหมดพยายามทำร่วมกันและล้มเหลวด้วยกันเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือความสวยงาม"
เมสซี่บอกกับทุก ๆ คนอย่างนั้น ในวันที่เขาลงสนามให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าในบ้านเป็นเกมสุดท้าย หลังจากนี้ถ้าจะได้เจอกันอีกก็อาจเป็นเกมอุ่นเครื่องทั้งหลาย เพียงแต่เกมเก็บคะแนนอย่างคัดบอลโลกจะไม่มีเขาอีกแล้ว
ที่จริงแล้วบรรยากาศทั้งรอบ ๆ สนามและในสนาม เอล โมนูเมนทัล ในเกมถล่มเวเนซุเอล่า 3-0 เมื่อวานนี้ช่างเต็มไปด้วยความสุข ทุกคนตั้งใจมาร่วมงานที่จัดขึ้นเพื่อเมสซี่โดยเฉพาะ ป้ายผ้า ธงทิว และเสียงร้องตะโกนเรียกชื่อเขาจากแฟนบอล 80,000 กว่าชีวิตที่แห่กันเข้ามาเชียร์ยอดกัปตันทีมหมายเลข 10 กันเต็มสนามทำให้บรรยากาศคล้ายงานเทศกาลรื่นเริง เสียงกลองดังไม่หยุดหย่อน
ขึ้นชื่อว่าการอำลาย่อมชวนให้รู้สึกอาลัย แต่ก็คงจะเป็นอย่างที่ อันโตนิโอ เมดิน่า นักข่าว beIN SPORTS ที่อยู่ในสนามบรรยายเอาไว้นั่นล่ะ ถ้ามันจะมีทางไหนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการร่ำลาเพื่อนร่วมชาติ เมสซี่ก็คงจะพบว่ามันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน เอล โมนูเมนทัล เกมนี้แหละ
เมื่อเมสซี่พาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกเมื่อ 3 ปีก่อน เสียงด่าที่เคยมีก็หายไปหมดเกลี้ยง มันเปลี่ยนมาเป็นความรักเทิดทูนอย่างที่สุด ผมไม่รู้ว่าคนที่เคยด่าทอเขาเรื่องความรักชาติไม่เท่าบาร์เซโลน่าจะรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า หรือจะเอะใจคิดบ้างหรือไม่ว่าข้อกล่าวหาแรง ๆ ที่เคยว่าเขานั้นมันยุติธรรมกับเขาไหม
อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอยู่แล้วนี่ แค่ความคิดเห็น คิดอย่างไรก็พิมพ์ไปอย่างนั้น เขาเองก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองไป
"ความฝันอีกอย่างหนึ่งของผมคือผมอยากจะได้รับมันบ้างที่นี่ ที่ประเทศของผม กับผู้คนของผม.."
ผมคิดว่าเมสซี่รู้ คนรอบข้างตัวเขาเองก็รู้ ว่าความฝันนี้มันเป็นจริงมาตั้งแต่วันที่เขาพาอาร์เจนติน่าเป็นแชมป์โลกแล้ว
มันเป็นจริงมา 3 ปีแล้ว.. เพราะเขาพาทุกคนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแห่งความปรารถนาด้วยกันได้แล้ว
ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว
สถานะของเขามั่นคงเป็นอมตะไปเรียบร้อย ไม่มีแรงอะไรจะมากระแทกมันให้แตกหักได้อีก
"การได้ลงสนามเล่นต่อหน้าทุก ๆ คนในอาร์เจนติน่าเป็นความสนุกเสมอ เราสนุกมาด้วยกันปีแล้วปีเล่าและผมก็มีความสุขมากที่ได้จบมันในแบบนี้ มันเป็นฉากจบที่ผมเฝ้าฝันมาตลอด คือได้จบมันต่อหน้าทุก ๆ คน"
เสียงวิจารณ์และคำกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมอาจจะยังรบกวนใจเขาอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านพ้นไปแล้ว และเขาก็สลัดมันทิ้งได้อย่างสมบูรณ์แล้วด้วยคำพูดนี้
ความฝันของเขาคือการได้จบเส้นทางของตัวเองต่อหน้าทุกคน แน่นอน.. มันรวมถึงคนที่เคยด่าเขาเอาไว้ด้วย
เขาได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รักไม่เพียงแค่ที่บาร์เซโลน่าเท่านั้นแล้ว แต่สามารถมั่นใจอย่างนั้นได้เช่นกันแล้วที่อาร์เจนติน่า ที่ประเทศของเขา ท่ามกลางเพื่อนร่วมชาติของเขา
ความรักนั้นแรงกล้าจนเชื่อว่าเขาต้องสัมผัสกับมันได้ในทุกอณูตั้งแต่งานฉลองครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ไม่มีอีกแล้วความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีอีกแล้วคำปรามาสดูถูกว่ารักเสื้อสีเลือดหมูน้ำเงินมากกว่าสีฟ้าขาว
ได้ชื่นใจว่าในที่สุดทุกคนก็เชื่อจริง ๆ ว่าทีมอัลบิเซเลสเต้คือชีวิตของเขา ได้รู้สึกปลดปล่อยว่าความทุ่มเทพยายามทั้งหลายที่ผ่านมานั้นทุกคนมองเห็นคุณค่า
ทุก ๆ ครั้งที่กลับไปเล่นที่นั่น เขาได้รู้สึกเหมือนกลับไปสู่อ้อมแขนและอ้อมกอดอันอบอุ่น รู้สึกเหมือนกลับบ้านอย่างแท้จริง ไม่มีสายตาคลางแคลงสงสัยใด ๆ อีก
ไม่มีคำพูดแห่งความเกลียดชังใด ๆ หลงเหลืออยู่ ด้วยเขาไม่มีอะไรต้องไล่ล่าให้ทั้งตัวเองและทีมชาติอีกแล้ว
หลังจากนี้.. ก็คงจะเป็นอย่างที่ ลิโอเนล สคาโลนี่ กุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่าพูดไว้นั่นล่ะ เราแฟนบอลควรเปลี่ยนความคร่ำครวญโหยหาและใจหายกับการนับถอยหลังของเมสซี่ มาเป็นความสุขในทุก ๆ เกมที่ยังได้เห็นเขาโลดแล่นอยู่ในสนามดีกว่า
เพราะในวันที่ตำนานวัย 38 ปีเริ่มทยอยปลดภาระบางอย่างออกจากบ่า เราต้องไม่ลืมว่าเขาไม่มีอะไรให้ต้องพิสูจน์อีกแล้ว
ลิโอเนล เมสซี่ ผ่านมันมาหมดแล้ว ช่วงเวลาที่เหลือ คือการเก็บเกี่ยวความสุขร่วมกัน..
-ตังกุย-