ชัยชนะเหนือทีมชาติมอลโดวาเมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร แทบไม่ได้สำคัญหรืออยู่ในความสนใจด้วยซ้ำ
เพราะความวิตกกังวลและทอดถอนใจของแฟนบอลอิตาลีคงไม่ได้ลดลงเท่าไหร่ ด้วยเกมเมื่อคืนวันศุกร์ยังขุ่นมัวอยู่ในอารมณ์
ย้อนกลับไปในวันนั้นที่กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ขุนพลอัซซูรี่ ของ ลูชาโน่ สปัลเลตติ ถูกเจ้าถิ่นทะลวงพ่ายกลับมายับเยิน 0-3
0 ประตูต่อ 3 ชนิดที่ถูกเจ้าบ้านกระหน่ำตายสนิทตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก สามประตูของนอร์เวย์ได้มาในนาทีที่ 14, 34 และ 42
เป็นความพ่ายแพ้แบบหมดรูป แข่งกันแค่ครึ่งเดียวก็รู้ผล แม้สถิติตัวเลขหลังจบเกมจะไม่ได้ชี้ชัดว่าห่างกันมากนัก แต่ทุกอย่างที่ปรากฏสู่สายตายืนยันชัดเจนว่าอิตาลีไม่เหลือสภาพของยอดทีมที่น่าเกรงขามเลย
ไม่มีใครครั่นคร้ามกับชื่อ 'อิตาลี' อีกต่อไปแล้วจริง ๆ หรือ..
กับสภาพในเวลานี้ คงไม่แปลกถ้าจะบอกว่ามันคือเรื่องจริง อาจเจ็บปวดรวดร้าวที่ได้ยิน แต่มันก็เป็นอย่างนั้น.. จริง ๆ
จากที่กระเด็นตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2 สมัยซ้อน มาตรฐานล่าสุดของอิตาลีแชมป์โลก 4 สมัยคือการถูกทีมที่เพิ่งจะได้ไปเล่นบอลโลกมาแค่ 3 ครั้งเช็กบิลตั้งแต่ยังไม่จบ 45 นาทีแรก
อุบัติเหตุลูกหนัง ? ก็เป็นไปได้ และนอร์เวย์นาทีนี้ก็อยู่ในยุคที่ดี มีนักเตะเก่ง ๆ โผล่ขึ้นมารับใช้ชาติมากมาย เออร์ลิง ฮาลันด์, มาร์ติน โอเดการ์ด, อเล็กซานเดอร์ ซอร์ล็อธ..
แต่ถอยออกมาอีกนิด แล้วมองกลับเข้าไปดูอิตาลีอีกที เราจะได้เห็นผลงานที่น่าเป็นห่วงของพวกเขา
ก่อนจะทุบมอลโดวา 2-0 เมื่อคืนวันจันทร์ อิตาลีถูกถลุง 11 ประตูจาก 4 เกมหลังสุด เฉลี่ยโดนยิงเกือบ 3 ประตูต่อเกม
แพ้ฝรั่งเศสคาบ้าน 1-3 แพ้เยอรมันคาบ้าน 1-2 เสมอเยอรมันที่ดอร์ทมุนด์ 3-3 และโดนนอร์เวย์บอมบ์เละ 0-3
จากต้นปี 2024 มาถึงวันนี้ อิตาลีลงเตะไป 14 เกม เพิ่งจะชนะเป็นครั้งแรกในรอบ 5 นัดหลัง และเพิ่งจะไม่เสียประตูเพียงเกมที่ 2 ตลอดเส้นทาง 14 นัดที่ว่า
ทีมที่เคยขึ้นชื่อเรื่องเกมรับที่แข็งแกร่งเสียประตูยากอย่างอิตาลี กลับเสียประตูให้คู่แข่งน้อยใหญ่ถึง 12 จาก 13 เกมก่อนนัดล่าสุด
เกมรับคลอนแคลนพร้อมจะเสียประตูทุกเมื่อ ขณะที่เกมรุกแทบมองไม่เห็นคนรับภาระถล่มประตูในแบบที่เป็นความหวังของทีม
ดาวซัลโวของทีมในชุดนี้รวมทั้งชุดที่เคยเรียกตัวมาตลอดรอบปีที่ผ่านมาคือ นิโกโล่ บาเรลล่า ที่เล่นให้ทีมชาติ 62 นัด ยิง 10 ประตู
ค่าเฉลี่ย 6 นัด 1 ประตูไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะดาวเตะอินเตอร์ มิลานเล่นในตำแหน่งกองกลาง
แต่กับบรรดากองหน้าของทีม จาโคโม่ ราสปาดอรี่ เพิ่งจะยิงลูกที่ 9 ในการเล่นทีมชาติ 40 นัดเมื่อคืนนี้ ค่าเฉลี่ย 4 เกมต่อ 1 ประตู.. มาเตโอ เรเตกี ศูนย์หน้าตัวเป้าจากอตาลันต้าไม่ยิงมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วนับรวมได้ 4 เกม (ไม่ได้เล่น 2 เกมที่เตะกับเยอรมันเมื่อเดือนมีนาคม)
กองหน้าคนอื่น ๆ ของทีมชุดปฏิทินฟีฟ่าเดือนนี้ ริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่ 9 นัด 2 ประตู ดาเนียล มัลดินี่ 5 นัด 0 ประตู เท่ากับ ลอเรนโซ่ ลุคคา ดาวยิงจากอูดิเนเซ่
ชุดที่เคยถูกเรียกติดทีมก่อนหน้านี้อย่าง มอยเซ่ เคน, สเตฟาน เอล ชาราวี, จานลูก้า สคามัคคา, นิโกโล่ ซานิโอโล่ ก็ไม่มีใครมีภาพของจอมถล่มประตูแบบยิงไม่ยั้งเลยสักคน
เฟเดริโก้ เคียซ่าที่โดดเด่นในศึกยูโร 2020 ที่พาอิตาลีทะลุขึ้นไปคว้าแชมป์และเป็นความหวังของทีมก็โชคร้ายเจ็บหนัก ถึงวันนี้ยังกลับไปอยู่ในจุดเดิมไม่ได้อีกเลย
อิตาลีในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาจึงดู 'เบา' ไม่ได้อยู่ในระดับเฮฟวี่เวทอย่างที่เคยเป็น
ชุดล่าสุดจริง ๆ ที่พอจะพูดได้ว่าอิตาลีดูดีหน่อยก็คงเป็นชุดแชมป์ยุโรป 2020 ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ชนะ 10 นัดรวดในรอบคัดเลือก พอรอบสุดท้ายก็ยังเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะเกมศูนย์ทั้ง 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม และยังเดินต่อไปจนสุดทางด้วยการเป็นแชมป์
ทีมชุดนั้นดูเหมือนจะกอบกู้ศรัทธากลับมาได้หลังความอับอายไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีที่ จาน ปิเอโร่ เวนตูล่า ทำทีมแพ้สวีเดนในเกมเพลย์ออฟตกรอบคัดเลือกเวิลด์คัพ 2018 ท่ามกลางความร้อนฉ่าแบบทะลักจุดเดือดของ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ และความอลหม่านที่ ซาน ซิโร่
อิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020 มีนักเตะอย่าง จอร์โจ้ คิเอลลินี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, มาร์โก แวร์รัตติ, จอร์จินโญ่, เฟเดริโก แบร์นาร์เดสคี่, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่, ชิโร่ อิมโมบิเล่, อันเดรีย เบล็อตติ เป็นตัวชูโรง พอจะเป็นความหวังของชาวอิตาเลียนได้เหมือนกัน
แต่สุดท้ายในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก เมืองรองเท้าบู๊ตก็ต้องช็อกกันอีกหนเมื่อพลาดเสมอไอร์แลนด์เหนือนัดสุดท้ายหล่นไปเป็นที่ 2 ของกลุ่มต้องไปเหนื่อยเพลย์ออฟอีกครั้งก่อนจะถูก นอร์ธมาซิโดเนีย เขี่ยตกรอบถึงปาแลร์โม่
ทีมอย่างอิตาลี ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน.. มันน่าเศร้ายิ่งกว่าอะไรจริง ๆ
และกับครั้งนี้ อิตาลีอาจจะแก้ตัวชนะมอลโดวาได้หลังจากแพ้นอร์เวย์ 0-3 ในเกมแรก แต่ด้วยกติกาที่มีเพียงแชมป์กลุ่มเท่านั้นที่จะได้ตั๋วไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย อันดับสองยังต้องไปเหนื่อยต่อในเกมเพลย์ออฟ อิตาลีก็ยังอยู่ในความสุ่มเสี่ยงที่อาจเจอฝันร้ายกับการเพลย์ออฟอีกหน
เพราะนอร์เวย์นำลิ่วเป็นจ่าฝูงเตะ 4 นัดชนะรวดมี 12 คะแนนเต็มพร้อมผลต่างประตู +11 ส่วนทีมอัซซูรี่เตะ 2 นัดมี 3 แต้ม ผลต่าง -1
เตะน้อยกว่า 2 นัดก็จริงแต่ตามกันอยู่ 9 คะแนน และผลต่างห่างกัน 12 ลูก คัดบอลโลกเป็นรายการของฟีฟ่าถ้าแต้มเท่านับผลต่างประตูได้เสียก่อนเฮดทูเฮด เกมรุกนอร์เวย์ดุอย่างนี้ยิ่งไม่เป็นผลดีต่ออิตาลี
ถ้านอร์เวย์ยังแรงไม่หยุดอย่างที่ระเบิดตาข่าย 3 ประตูขึ้นไปได้ถึง 9 จาก 12 เกมนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2024 อย่างที่เป็นอยู่ คู่ต่อสู้ร่วมกลุ่มอย่างอิสราเอล เอสโตเนีย และมอลโดวา คงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรสำหรับพวกเขา
อิตาลีเองต่างหากที่มีหน้าที่ต้องทำ เวลานี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชนะไปเรื่อย ๆ เพื่อรักษาความหวังเอาไว้จนกว่าจะได้แก้ตัวในเกมสุดท้ายที่จะได้เล่นในบ้านรับมือนอร์เวย์เดือนพฤศจิกายน
เส้นทางยังอีกยาวไกล อาจยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินอะไร เพียงแต่แนวโน้มดูจะไม่เอื้อให้อิตาลีเลย เพราะพวกเขาอาจจะเพิ่งเตะไป 2 เกมจากที่ต้องเล่น 8 นัดก็จริง แต่นอร์เวย์เล่นไปถึงครึ่งทางคือ 4 นัดแล้ว และไม่มีแต้มตกหล่นเลย
อิตาลีเอย อิตาลี.. พวกคุณมาถึงจุดที่ต้องกระเสือกกระสนกับการไปฟุตบอลโลกขนาดนี้ได้อย่างไร
กับทีมอย่างอิตาลี คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมาก ด้วยเกียรติยศความองอาจ ด้วยประวัติศาสตร์ที่อัดแน่น ด้วยมนต์ขลังและเสน่ห์แบบเหลือล้น
ผู้คนมากมายเทใจให้อิตาลี เชียร์พวกเขา ตามดูพวกเขา.. หลงรักพวกเขา
วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะครับ ในวันนี้ความภาคภูมิใจครั้งคว้าแชมป์โลก 2006 คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบจะครบ 20 ปีแล้ว
ความสุขของแฟนบอลเมืองมะกะโรนีกับฟุตบอลโลกคล้ายจะถูกแช่แข็งเอาไว้ตั้งแต่ความเรืองรองที่เบอร์ลินคืนนั้น
พวกเขายังคงพูดถึงทีมชุดนั้นด้วยสายตาเป็นประกายอยู่เลย มันคือขุมกำลังที่ชาวอิตาเลียนภูมิใจอย่างที่สุด กางรายชื่อแชมป์โลกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันหรือเหล่ายอดทีมทั้งหลายมาเลย วัดกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ อิตาลี 2006 ไม่กลัวใครทั้งนั้น
จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, อเลสซานโดร เนสต้า, มาร์โก มาเตรัซซี่, จานลูก้า ซามบร๊อตต้า, ฟาบิโอ กรอสโซ่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, อันเดรีย ปีร์โล่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, เมาโร คาโมราเนซี่, ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, ลูก้า โทนี่, อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่, ฟิลิปโป้ อินซากี้ ฯลฯ
หรือแม้กระทั่งตัวกุนซือ.. มาร์เชลโล่ ลิปปี้ ก็โดดเด่นไปด้วยแคแร็กเตอร์ เท่ สมาร์ท เก่ง เป็นก๊อดฟาเธอร์ มีคุณสมบัติเพียบพร้อมของการเป็นปูชนียบุคคล
แล้วจากนั้นความหลังเก่า ๆ ก็จะผุดขึ้นมาแบบพรั่งพรู นักเตะระดับตำนาน กุนซือระดับปรมาจารย์..
ไม่ต้องย้อนไปไกลถึงแชมป์โลก 2 สมัยแรกปี 1934 กับ 1938 โดย วิตตอริโอ ปอซโซ่ หรือ แฟร์รุชโช่ วัลคาเรจจี้ ที่พาทีมคว้าแชมป์ยูโร 1968 และเข้าชิงบอลโลก 1970 รวมทั้งนักเตะดาวค้างฟ้าอย่าง จิจี้ ริว่า, จานนี่ ริเวร่า หรือ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า หรอก เอาแค่ยุค 1980 ไล่มาถึง 1990 ก็เหลือเฟือ
เอนโซ่ แบร์ซ็อต, อาร์ริโก้ ซ้าคคี่, โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ ก๊อดฟาเธอร์ที่ชวนให้เราลุ่มหลงจมลึกเช่นกัน
ดิโน่ ซอฟฟ์, เปาโล รอสซี่, เคลาดิโอ เจนติเล่, กาเอตาโน่ ชีแร, อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่, บรูโน่ คอนติ, มาร์โก ทาร์เดลลี่, ฟรังโก้ บาเรซี่, จูเซ็ปเป้ แบร์โกมี่, เปาโล มัลดินี่, วอลเตอร์ เซ็งก้า, ชิโร่ แฟร์ราร่า, จูเซ็ปเป้ จานนินี่, จานลูก้า วิอัลลี่, ซัลวาตอเร่ สกิลลาชี่, นิโกล่า แบร์ตี้, จูเซ็ปเป้ ซินญอรี่, โรแบร์โต้ บาจโจ..
จากรุ่นสู่รุ่น จากยุคสู่ยุค อิตาลีไม่เคยอยู่ห่างจากคำว่าระดับโลก จะดีจะแย่ก็ยังกล้าพูดได้เต็มปากว่าดีกรีพวกข้านั้นเวิลด์คลาส
แต่ถึงวันนี้.. 11 ปีแล้วนับจากยกพลบุกบราซิลล่าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ที่จบลงด้วยความล้มเหลว
อิตาลีไม่อาจกลับไปอยู่ในจุดที่ท้าทายผู้คนได้อีกเลย นับจากจุดสูงสุดที่เบอร์ลิน 2006
ฟุตบอลโลก 2010.. ตกรอบแรก กล้า ๆ จบด้วยอันดับบ๊วยของกลุ่มที่มี ปารากวัย สโลวาเกีย และ นิวซีแลนด์ เตะ 3 นัดมีแค่ 2 แต้ม
ฟุตบอลโลก 2014.. ตกรอบแรก ชนะอังกฤษในนัดประเดิม ก่อนแพ้คอสตาริกา และถูกอุรุกวัยส่งกลับบ้าน
ฟุตบอลโลก 2018.. ตกรอบคัดเลือก แพ้สวีเดนในเกมเพลย์ออฟ 2 นัด
ฟุตบอลโลก 2022.. ตกรอบคัดเลือก แพ้นอร์ธมาซิโดเนียในเกมเพลย์ออฟ เป็นการแพ้เกมคัดบอลโลกในบ้านครั้งแรกในประวัติศาสตร์
อิตาลีเอย อิตาลี.. การพูดถึงพวกคุณกับฟุตบอลโลกคล้ายจะกลายเป็นความรู้สึกโหยหาอดีตอันแสนไกลไปเสียแล้ว
ถ้าครั้งนี้ยังลงเอยด้วยความผิดหวังอีก มันก็คงเป็นหายนะสมบูรณ์แบบ.. มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร
ตังกุย