คุณผู้อ่านถามเข้ามาว่าช่วยวิเคราะห์ความพ่ายแพ้ของ เรอัล มาดริด เกมแรกของซีซั่นนี้หน่อย ?
จัดไปครับ (บอลจบมา 2 วันเพิ่งมีเวลาเขียน)
จู๊ด ตัวจริง ?
การจัดตัว ผมไม่ติดใจอะไร
11 คนแรกของ อลอนโซ่ มันก็คาดเดาได้อยากอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?
และที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีใครตั้งคำถาม แถมยังชมด้วยว่า หลากหลาย ทำให้คู่ต่อสู้ยากที่จะคาดเดา
แต่พอทีมแพ้ ดันมีคำถามาว่า "ทำไมส่ง จู๊ด ออกสตาร์ทตัวจริงทั้งๆที่เพิ่งกลับมาเล่นได้แค่ 20 นาที ?"
แบบนี้ผมว่าไม่แฟร์ ส่วนตัวเชื่อว่า อลอนโซ่ คิดมาอย่างดีแล้ว ถึงเลือกมิดฟิลด์อังกฤษลงสนาม เขาน่าจะต้องการความนิ่ง ความเข้มมข้นในแดนกลาง เพื่อชิงพื้นที่ ซึ่งชุดทักษะของ จู๊ด ตอบโจทย์มากกว่า
แต่ครั้นจะดร็อป กือแลร์ ก็เสียดาย เด็กกำลังเล่นดี มีทีเด็ด โดยเฉพาะจังหวะบอลปล่อยที่ ดาวรุ่งเติร์กมักให้แบบได้เสียหลายครั้ง นั่นทำให้หวยมาลงที่ มาสตานตัวโน่
การนั่งสำรองของ มาสตานตัวโน่ ถ้าจะให้วิเคราะห์ นอกจากเรื่องของเกมแพลนที่ อลอนโซ่ มองว่า จู๊ด ตอบโจทย์มากกว่า และไม่อยากดร็อป กือแลร์ แล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ยังไม่มาก
อีกทั้งหากสถานการณ์ไม่ดียังไง ก็สามารถส่ง มาสตานตัวโน่ ลงไปแก้เกมได้อยู่แล้ว
ส่วนผลงานของ จู๊ด ผมว่าเขาช่วยทีมได้ดีโดยเฉพาะการไล่บี้ตรงกลาง อาจไม่โดดเด่นในการขึ้นเติมรุก แต่ก็รับผิดชอบเกมรับ ตัดและบล็อคจังหวะอันตรายได้หลายครั้ง
ด้าน โชโล่ 11 คนแรกของเขา ถ้าจะมีผิดคาดไปมากก็คือ อเล็กซานเดอร์ ซอร์ลอท เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวเลยว่าหัวหอกนอร์วีเจี้ยนจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ถือว่า โชโล่ เซอร์ไพรส์ อลอนโซ่ ไม่น้อย
ที่เหลือก็เป็นไปตามคาด จุดนึงที่ผมมองว่า แอตเลติโก โชคดี ก็คือการได้คู่กลางที่ลงตัวทันเวลา
เท่าที่ตามดูทีมของ โชโล่ ก่อนหน้านี้ รู้สึกว่าการที่อะไรๆมันยังไม่ลงตัวทีม ส่วนนึงมาอยู่ที่การทำงานของมิดฟิลด์คู่กลางด้วย
ระบบ 3-5-2 หรือ 4-4-2 มิดฟิลด์คู่กลางสำคัญมาก เพราะหลายครั้งต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ใช้มิดฟิลด์ 3 ตัว ดังนั้น 2 คนนี้ ต้องเล่นได้ครบเครื่อง รุกได้-รับได้ มีความเข้าใจเกมสูง ต้องฟิตมากเพราะต้องแย่ง พาบอล ต้องวิ่งขึ้น-ลง จากกรอบเขตโทษสู่กรอบเขตโทษ
แรกทีเดียว โชโล่ เลือกใช้ ปาโบล บาร์รีออส ยืนกับ จอห์นนี่ การ์โดโซ่ สลับกับ คอเนอร์ กัลลาเกอร์ ลดสถานะ โกเก้ เป็นเพียงแค่ตัวหมุนเวียน
แต่เล่นไป 3-4 เกมไม่ลงตัว กระทั่ง การ์โดโซ่ มาเจ็บ กัลลาเกอร์ ก็ไม่ตอบโจทย์ สุดท้ายกลับมาใช้ โกเก้ ซึ่งพอผ่านไป 2 เกม กลายเป็นว่าลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
เกมเมื่อวันเสาร์ ต้องยอมรับว่าคู่ บาร์รีออส-โกเก้ ซัดกับ เฟเด-ชูอา-จู๊ด ได้แบบไม่เป็นรองเลย
เกมแพลน
สิ่งที่เห็นคือ เรอัล มาดริด ก็พยายามเล่นตามวิธีการของ อลอนโซ่ แต่ความเข้มข้นกลับไม่เท่าเดิม
การเพรสซิ่งแดนบน ไม่ใช่ว่าไม่ทำ แต่ทำน้อยกว่าและไม่ดุดันเท่าที่ผ่านมา ทำให้แนวรับ แอตเลติโก ไม่เจอกับความกดดันเท่าที่ควร
ต่างจาก แอต.มาดริด ที่เกมนี้กระตุ้นกันมาได้ดีมาก ภาษาบ้านเรียกว่า "เอากันทุกคน" ลงไปเล่นด้วยความกระหาย สู้ทุกบอล เอาทุกจังหวะ สำคัญคือกล้าลุย กล้าแลก
นอกจากพื้นที่ตรงกลางที่ บาร์รีออส-โกเก้ จัดหนักใส่แผงมิดฟิลด์ มาดริด แล้ว สมรภูมิทางริมเส้นก็เป็น ตราหมี ที่ทำได้ดีกว่า
ฝั่ง การ์บาฆาล โดน นิโก้ กอนซาเลซ กับ ดาวิด ฮานโก้ สลับกันขึ้นมานวด บางครั้งมาสอง
ฝั่ง การ์เรราส นี่ยิ่งหนัก เพราะเจอตัวเทพพลังงานสูงทั้งคู่ ไม่ว่าจะ จูเลียโน่ หรือ มาร์กอส ยอร์เรนเต้ ที่เดี๋ยวมาๆ และไม่ใช่แค่เกมรุก จังหวะ การ์เรราส ได้บอลก็ไม่เคยได้ว่าง จูเลียโน่ พัวพันตลอด ไม่ให้ผ่านง่ายๆ
จูเลียโน่ ไม่ใช่นักเตะที่ทักษะดีเลิศ ไม่เนี๊ยบเลยก็ว่าได้ แต่มีความเร็ว ขยัน ร่างกายฟิตปั๋ง และสำคัญคือจิตใจที่เป็นนักสู้ เป็นปีกที่เล่นเกมรับก่อนใคร แบ็กหลอกได้หลอกไป แต่ถ้าเลี้ยงติดขึ้นมาเป็นเรื่อง
จุดชี้แพ้-ชนะ
อันดับแรก แอตเลติโก เข้มข้นกว่า ถ้าจะถามว่าเอนเนอร์จี้ทีมไปถึงจุดไหน ก็ให้ดู จูเลียโน่ นั่นแหละครับ ดีดเป็นม้าเลย การแย่งบอล การเข้าถึงบอล การเก็บตกจังหวะสอง
เอาจริงๆ ด้วยคุณภาพของ มาดริด ในแต่ละตำแหน่งนั้นสูงมาก ถ้า แอตเลติโก ไม่เข้มข้นระดับนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะเอาลงเหมือนกัน
แต่งานนี้ บทเรียนแรกของ อลอนโซ่ ก็คือ "เดร์บี้ ยังไงก็คือ เดร์บี้ วันยังค่ำ" "คุณไม่มีทางชนะเกมนี้โดยปราศจากความเข้มข้นสูงสุด"
นอกจากความเข้มข้น หรือที่ภาษาสเปนเรียกว่า intensidad แล้ว สิ่งที่พา แอตเลติโก เอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ก็คือ กลยุทธ์
กลยุทธ์ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนอะไร ข้อสำคัญคือ "เล่นงานจุดอ่อนคู่ต่อสู้ได้"
หมากเปิดโหม่งง่ายๆของ โชโล่ เล่นงานแนวรับ มาดริด จนปั่นป่วน เห็นได้ว่านักเตะแอตเลติโก ครอสบอลจากทุกพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องถึงเส้นหลัง ใกล้-ไกล บอมม์หมด ถ้าเห็นว่า เป้าหมายอย่าง ซอร์ลอท เข้าพื้นที่แล้ว
ที่สำคัญคือบอลโยนของ แอตเลติโก ดันแม่นอย่างน่าเกลียดในเกมนี้
ลูก จูเลียโน่ เปิดให้ เลอ นอร์กมองด์ โขก 1-0 ยังไม่เท่าไหร่ แต่ลูกเปิดของ โกเก้ ให้ ซอร์ลอท โขก 2-2 นี่สิ แม่นเหลือเชื่อจริงๆ
ฟาก มาดริด เกมรุกอันตรายมาก เร็ว แรง เฉียบคม ทั้ง เอ็มบั๊บเป้ ,กือแลร์,วินิซิอุส ทุกครั้งที่ได้บอล แอตเลติโก ปั่นป่วนตลอด แต่เวลาไม่มีบอล ทั้ง 3 คนยังทำได้ไม่ดี
มุมมองส่วนตัว อีกหนึ่งจุดชี้ขาดคือ ตราหมี ทำได้ดีกว่าเวลาไม่มีบอล
เฮาเซ่น-การ์เรราส สองแข้งใหม่ที่ได้รับคำชมเยอะช่วงที่ผ่านมา ได้รับบทเรียนราคาแพง
มันสำคัญมากที่พวกเขาได้เจอกับเกมลักษณะนี้ ในภายหน้ามันจะช่วยยกระดับการเล่นให้ทั้งคู่ เพราะนี่ความพ่ายแพ้หนแรกที่ยับเยิน
คนเราเจ็บแล้วต้องจำ !
จุดโทษ 3-2
มีการเถียงกันพอสมควรว่าจังหวะนี้ กือแลร์ ถึงบอลก่อน เตะโดนบอลชัดเจน ทำไมถึงยังเป็นจุดโทษ
ถ้าจะให้อธิบายคือ การเล่นของ กือแลร์ เข้าข่ายเล่นอันตรายครับ
ระดับความสูงของลูกบอลนั้น ควรเป็นการเล่นด้วยศรีษะ
ง่ายๆคือพื้นที่นั้นทุกคนควรเล่นด้วยหัว แต่ดันมีอยู่คนนึงวาดตีนขึ้นมา
"ก็เตะโดนบอลนิ"
ใช่ครับ โดนบอล แต่ถ้าไม่ยก(ตีน)ขึ้นมา มันก็เข้าหัว นิโก้ กอนซาเลซ เต็มๆเหมือนกัน ดังนั้นลูกนี้เป่าเป็นจุดโทษได้
อย่างไรก็ตาม ประตู 4-2 ต่างหากคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การคว้าชัยระดับประวัติศาสตร์ของ แอตเลติโก
จะพูดว่า ฟรีคิกของ ฮูเลี่ยน ตัด มาดริด ออกจากเกมก็คงไม่ผิดนัก เพราะในสถานการณ์ที่เกมเปิดสุดๆ แลกกันแบบใครดีใครอยู่ บอลระดับ มาดริด ตามหลัง 2-3 ในขณะที่ยังเหลือเวลา 40 นาทีนี้ ยังไงมีโอกาสไล่ทันอยู่แล้ว
แต่พอโดนฟรีคิกปลดวิญญาณของ ฮูเลี่ยน เข้าไป เกมเปลี่ยนเลย
จะบอกว่าแข้งชุดขาวก็ถึงกับท้อก็คงได้ มันคือแรงเหวี่ยงมหาศาลที่ส่งให้ แอตเลติโก ยิ่งมั่นใจ ส่วน มาดริด โดยธรรมชาติก็รู้ตัวแล้วว่าไล่ยาก โอกาสแพ้สูง ซึ่งท้ายที่สุดพวกเขาก็กลับมาไม่ได้ แถมดันเสียเพิ่ม !
ความผิดพลาดของ วัลเวร์เด้ ผมไม่อยากตำหนิอะไร เพราะเล่นดีมาตลอด
คนเราก็ต้องเจอวันแย่ๆกันบ้าง ถ้าปลายเกมมันจะคิดผิด จ่ายพลาดไปนั้น ก็ช่างมัน
แต่ประตูนี้ ก็ส่งให้ แอตเลติโก ยิง เรอัล มาดริด ได้มากถึง 5 ลูกเป็นครั้งแรกในรอบ 75 ปีเลยทีเดียว หนสุดท้ายที่ทำได้คือปี 1950 โน้น
ดังนั้นเกมนี้จึงถูกบันทึกไว้ประวัติศาสตร์ เดร์บี้ มาดริเลนโญ่ เรียบร้อยแล้ว
ในฝั่ง ตราหมี นี่คือเกมที่พวกเขาไม่มีวันลืม ส่วนฝั่ง มาดริดิสต้า นี่คือความพ่ายแพ้เจ็บปวดที่สุด
กระนั้นแม้จะเจ็บปวด แต่มันคือบทเรียนล้ำค่า ของทีม และของ อลอนโซ่ บทเรียนที่กระตุ้นเตือนว่าเส้นทางที่กำลังเดินอยู่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ช่วยให้ทุกคนตระหนักว่า "จากนี้ไปต้องทำให้ดีกว่านี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้า" วันไหนถ้าไม่ท็อป วันนั้นก็แพ้ได้
ส่วน แอตเลติโก คือนี่ชัยชนะที่ควรค่าต่อการเฉลิมฉลอง หากแต่ก็ไม่ควรลืมว่า ไม่ว่าจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่สำหรับการลุ้นแชมป์แล้ว มันก็คือ 3 แต้ม ที่ไม่ต่างอะไรเกมที่พวกเขาได้มาจาก ราโย หรือ บียาร์เรอัล
สำคัญคือ ออกสตาร์ทมา 7 เกม พวกเขาชนะแค่ 3 เกมเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่แต้มของทีมลุ้นแชมป์เลย
แม้จะยากมากๆ แต่ โชโล่ ก็ควรรักษามาตราฐานเช่นนี้ให้ได้ในทุกๆนัด หากหวังจะเป็นแชมป์ ไม่ใช่ปีๆนึงรอเล่นแต่ เดร์บี้
ยังงี้ก็ไม่ไหว..เพราะได้แต่ใจ แต่ไม่ได้ถ้วย
#เจมส์ลาลีกา