หลังจบเกมอันแสนวุ่นวายที่ บาเยกาส ทั้งจุดโทษปัญหา, VAR ที่ติดๆดับๆ นอกจากไม่ชนะแล้วยังเกือบแพ้ ภายในห้องแถลงข่าว หลังตอบคำถามมาได้สักระยะ นักข่าวคนนึงพยายามเปลี่ยนประเด็นเพื่อถึงความเห็นเกี่ยวกับ อนาคต เฟร์มิน โลเปซ (ก่อนตลาดปิด)
แต่ ฮันซี่ ฟลิค กลับตอบว่า "วันนี้ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้" จากนั้นกุนซือเยอรมันก็ร่ายยาวถึงทีม แสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกไม่พอใจมากๆกับเกมที่ออกมา
จากอากัปกิริยา สีหน้าท่าทาง นี่น่าจะเป็นเกมที่ บาร์ซ่า เล่นแล้วทำให้ ฟลิค โกรธที่สุดนับแต่เข้ารับงานก็ว่าได้ ซึ่งตอนท้าย เทรนเนอร์วัย 60 ได้กล่าวว่า
"เมื่อไหร่ที่ตลาดปิดแล้ว , ทุกคนจะต้องมุ่งมั่น 100 % กับสโมสรนี้และกับทีมนี้ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา อย่าได้มีอีโก้ เพราะอีโก้จะฆ่าทุกความสำเร็จ"
อย่าได้มีอีโก้...เพราะอีโก้จะฆ่าทุกความสำเร็จ
ประโยคสุดท้ายสร้างความสงสัยให้กับนักข่าวในห้อง และแน่นอนว่าเมื่อมันกระจายออกไป ก็มีการตั้งคำถามกันว่า "ใครกันที่แสดงออกแบบนั้น ?"
"ใครล่ะที่มีอีโก้ ?"
จะบอกว่านี่คือเรื่องที่ผมเซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะหากพิจารณาจากบรรดาทีมใหญ่ในยุโรป บาร์ซ่า ยุค ฟลิค น่าจะเป็นทีมสุดท้ายที่เกิดภาวะนี้
ในสายตาผม เห็นว่า ฟลิค ดูแลนักเตะดีมาก ยุติธรรมกับทุกคน พร้อมเปิดโอกาส
ในความสัมพันธ์ เขาใกล้ชิดกับนักเตะ ทว่าก็เข้มงวดด้วยกฏระเบียบเพื่อความสงบเรียบร้อย ตามสไตล์ Kind but firm
'ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน' หลอมละลายพฤติกรรมเด็กๆในทีมตั้งแต่วันแรก กระทั่งพลิกฟื้น บาร์ซ่า จนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ทั้งความสำเร็จ และรูปแบบการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
นักเตะแสดงให้เห็นถึงกลมเกลียว ต่อสู้อย่างหนักเพื่อทีม นี่คือคาแรกเตอร์ หรือภาพจำของ บาร์ซ่า ยุค ฟลิค จนผมไม่คิดว่าจะได้ยินเขาเอ่ยคำ 'อีโก้' ถึงลูกทีม
แต่มาคิดๆดู อีโก้ ไม่ใช่อิฐใช่ปูนที่ทุบทำลายแล้ว ไม่สามารถคืนสภาพเดิมได้ หากแต่ อีโก้ อยู่ในตัวคน มันจึงคล้ายต้นหญ้าที่ถึงแม้ตัดทิ้งแล้วก็พร้อมที่จะงอกขึ้นมาใหม่
อ่านบทสัมภาษณ์ ฟลิค แล้ว ทำให้ผมคิดถึงประโยคนึงของ พี่เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ ที่ ป๋าเต็ด นำมาเล่าตอนสัมภาษณ์วงไมโคร
ย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น ไมโคร ที่กำลังโด่งดังเป็นวงร็อกเบอร์ต้นๆของเมืองไทยเกิดความระส่ำระส่ายใกล้วงแตกเต็มที
พี่เต๋อในฐานะผู้บริหารค่ายแกรมมี่และรุ่นพี่จึงเรียกสมาชิกทุกคนของวงเข้าไปคุย ก่อนจะพูดประโยคนึงขึ้นมา
“พวกมึงนี่แปลก ร่วมทุกข์กันได้ แต่ร่วมสุขกันไม่ได้”
ครับ ฟังแล้ว มันเป็นคำพูดที่โคตรจะจริง สะท้อนถึงวงจรของวงดนตรีได้อย่างถึงแก่น
ตอนที่ยังไม่โด่งดัง ตอนที่ยังขัดสน ไร้ความสำเร็จ มีกินแค่มาม่า มีนอนแค่ห้องเช่าแคบๆ แต่ทุกคนรักกันดี อยู่ร่วมกันได้ ทว่าเมื่อความสำเร็จเข้ามา ชื่อเสียงเงินทองหลั่งไหล กลายเป็นว่า "ร่วมเสพสุขกันไม่ได้"
ฉันใดก็ฉันนั้น ขนาดวงดนตรีมีไม่กี่คนยังเป็นไป ประสาอะไรกับทีมฟุตบอลที่เกิดจากการรวมตัวของเด็กหนุ่มนับสิบๆคน
เมื่อก่อนไม่มี ไม่ได้หมายความว่า ตอนนี้จะไม่มี
เมื่อก่อนไม่ได้แสดงออก ไม่ได้หมายความว่า มันไม่เคยมี
มันอาจถูกกดเอาไว้ จะด้วยการทำงานกับ ฟลิค หรือจะด้วยสถานการณ์ ณ เวลานั้น
อีโก้ ไม่ได้หมายความว่าต้องการที่จะประสบความสำเร็จคนเดียวเสมอไป แต่ยังหมายถึงความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อว่าตัวเองดีที่สุด เชื่อว่าความคิดเราดีที่สุด เราทำได้ดีกว่าทุกคน
สรุปคือการยึดติดกับความเป็นตัวตนนั่นเอง ซึ่งมันก็อาจจะมาจาก ความสำเร็จ,คำเยินยอ,การได้รับการยอมรับจากผู้คนจำนวนมาก
ย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่พี่เต๋อ พูดประโยคคลาสสิคนี้กับสมาชิกไมโคร ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้สึกสะอึก ทว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิด และมุมมองของทุกคนได้
วงไมโครจึงแยกย้ายกันไป กระทั่งผ่านไปนับสิบๆปีวันที่ทุกคนได้กลับมารวมตัวกันนั่งพูดคุยกับป๋าเต็ด พี่หนุ่ย อำพล สรุปว่า มันเป็นเรื่องมุมมอง อายุ และ อีโก้
"เป็นคนหนุ่ม เป็นวัยรุ่น ก็เต็มเหนี่ยวอ่ะ"
"มึงก็ดัง กูก็ดัง เฮ้ยมึงดัง กูก็ดังเหมือนกัน เอาสิ" พี่หนุ่ย บอกกับป๋าเต็ด
ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อถึงจุดที่พี่หนุ่ยบอกว่าจัดแจงมันได้ทั้งหมดแล้ว จึงย้อนไปเข้าใจถึงความหมายของประโยคในวันนั้นว่า "ทำไมร่วมทุกข์กันได้ แต่ร่วมสุขกันไม่เป็น"
เสียดายครับ คุณเต๋อน่าจะได้เห็นภาพนี้
วกกลับมาที่ บาร์ซ่า ผมไม่อยากทึกทักเอาเองว่า อีโก้ ที่ ฟลิค พูดถึง มันเกิดขึ้นเพราะทีมประสบความสำเร็จ นักเตะจึงเปลี่ยนไป กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ไม่ส่วนใดก็ส่วนนึงของทีมมันได้ก่อตัวขึ้นแล้ว และมันอันตราย
ไม่ใช่แค่กรณีวงไมโครเท่านั้น ใกล้ๆกันอย่าง เรอัล มาดริด ในยุคกาลาคติกอส ก็ยุบยั่บด้วยอีโก้เช่นกัน
เคยมีนักวิเคราะห์บอกว่า มาดริด ยุคกาลาคติกอสที่เอาสตาร์มารวมตัวกันนั้น ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะเป็นสุดยอดนักเตะ และช่วยยกระดับทีมได้ แต่มันก็จะได้แค่ช่วงเวลานึงเท่านั้น
ในช่วงแรกที่ทุกคนเพิ่งเข้ามา ทุกคนจะกดอีโก้ของตัวเองเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแต่ละคนก็จะค่อยๆเผยส่วนนี้ออกมา
เหตุนี้ความสำเร็จในยุคกาลาคติกอสจึงไม่ยืนยาว เป็นความสำเร็จประเดี๋ยวประด๋าว เพราะมันเป็นการเกาะกลุ่มกันแบบหลวมๆนั่นเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับ บาร์ซ่า ของ ฟลิค ผมว่ามันแตกต่างกัน นั่นเองจึงเป็นเหตุที่ว่าผมรู้สึกแปลกใจที่มันเกิดขึ้น
แต่ก็นั่นแหละครับ แม้มันจะเกิดขึ้น แต่การสังเกตเห็นมัน ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า ทีมจะได้ไปกันต่อ เพราะ บาร์ซ่า ชุดนี้ยังมีอนาคตสดใสและอีกยาวไกลเพียงแต่ ฟลิค จะต้องลงมือแก้โดยเร็วและด้วยความเข้าใจ งานนี้ความดุดัน แข็งกร้าวไม่น่าใช่คำตอบ
อย่าลืมว่า บาร์ซ่า นี่ก็เด็กหนุ่มเต็มทีม !
แต่จะอย่างไรก็เอาใจช่วยครับ อยากดูบอลสนุกๆแบบนี้ไปอีกนานๆ
ปล. เปล่าประโยชน์ครับที่จะไปเสาะหาว่าใครคือนักเตะที่ ฟลิค เอ่ยถึง แต่เชื่อเถอะว่ามันมีคนพยายามหาอยู่ (ฮา)
#เจมส์ลาลีกา