ลา ลีกา ออกสตาร์ทมา 2 นัด ในมือของ แอต.มาดริด แค่ 1 แต้ม นับเป็นผลงานที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง
ซัมเมอร์นี้ทีมที่ลงทุนเกือบ 170 ล้านยูโร แต่แพ้ให้ เอสปันญ่อล ที่ปีก่อนกว่าจะรอดตกชั้นต้องลุ้นถึงนัดสุดท้าย ต่อมาเกมในบ้านทำได้แค่เสมอกับน้องใหม่อย่าง เอลเช่ 1-1
ควรทราบว่า เอลเช่ ใช้งบเสริมทัพในปีนี้ไปทั้งสิ้น 6.6 ล้านยูโร !!
สำหรับแฟนๆตราหมี มันก็น่าโมโหจริงๆนั่นแหละครับ บางคนบอกนอกจากนักเตะใหม่ที่ขนซื้อเข้ามาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย วิธีเดิมๆ แท็คติกเดิมๆ
แต่จุดนี้ผมมองต่างครับ ถ้าดูอย่างละเอียด เก็บทุกเม็ด จะเห็นได้ว่า แอต.มาดริด มีแนวโน้มที่จะเล่นในแนวทางที่ต่างไปจากเดิม
แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่า back to basic จะดีกว่า
สิ่งที่เห็นในเกมกับ เอลเช่ มันดูติดๆขัดๆน่าหงุดหงิดไปหมดก็จริงนะครับ ความเฉียบขาดหดหาย ความสัมพันธ์การรับ-ส่งบอล มีปัญหา
นักเตะใหม่อย่าง ตีอาโก้ อัลมาด้า ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย , จอห์นนี่ การ์โดโซ่ ก็ยังไม่โดดเด่น ด้าน มัตเตโอ รุจเจรี่ ก็ยังธรรมดา ทั้งหมดที่ถูกส่งลงสนามมีเพียง ดาวิด ฮานโก้ เท่านั้นที่มีผลงานพอจับต้องได้
เกมแรกกับ เอสปันญ่อล ส่วนตัวผมมองว่าค่อนข้างแย่ ในแง่ของรูปแบบ วิธีการที่ดูไม่ชัดเจน แต่เกมสองถึงแม้ว่าจะเสมอกับทีมที่อ่อนชั้นกว่าในรังตัวเอง แต่วิธีการชัดเจนขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ แอตเลติโก หันมากลับมาเน้นการเพรสซิ่งที่ดุดันอีกครั้ง !
ครับ ผมใช้คำว่าอีกครั้ง หลายท่านอาจเลิกคิ้วสงสัยว่า แอตเลติโก เคยเล่นอะไรแบบนี้ด้วยหรือ ?
ก็ต้องตอบว่าใช่ครับ ในยุคที่พวกเขาพีคจัดๆระหว่าง 2012-2016 ช่วงเวลาที่ โกเก้ กับ ซาอูล ญิเกซ ยังสดๆ ช่วงที่ กาเบรียล เฟร์นานเดซ กาบี ยังสวมปลอกแขนกัปตันทีม มี ตีอาโก้ เมนเดส ช่วงที่มี ฆวนฟราน,มิรานด้า,โกดิน,เฟลิเป้ หลุยส์ เป็นแบ็กโฟร์ และแนวรุกมี บีย่า กับ กอสต้า เป็นคู่หน้า
ห้วงเวลานั้น เพรสซิ่งของ แอตเลติโก ดุดันเอามากๆ
มาดริด,บาร์ซ่า เจอทีไรก็เหนื่อย ทีมเล็กรอดยาก ทว่าหลุดจาก 4 ปีที่ว่านี้ไปแล้ว โชโล่ ก็ไม่เคยหวนกลับมาเล่นอีกเลย
เหตุผลหลักคือตัวเก่าโรยรา เหตุผลต่อมาแกเองก็ปรับไปเล่นวิธีอื่น เช่นระบบ 3-5-2 เน้นรับแน่นในพื้นที่ระยะ 25 เมตรหน้ากรอบเขตโทษ ไม่ได้ไล่ล่าเหมือนเคย
อาร์ด้า ตูราน ที่พีคสุดกับ แอตเลติโก จนคว้าแชมป์ ลา ลีกา ปี 2013-14 กับทีม ก่อนย้ายไป บาร์เซโลน่า ในปีถัดมา เคยออกมาบอกว่า หนึ่งในสาเหตุหลักของการย้ายออกจาก ตราหมี คือเขาวิ่งไม่ไหวแล้ว และไม่อยากวิ่งแบบนั้นอีกแล้ว
กล่าวคือฟุตบอลของ โชโล่ ยุคนั้นแต่ละเกม แต่ละนัดรีดพลังนักเตะจนหมดไม่เหลือ นักเตะโรยราเร็ว และหามาทดแทนไม่ได้
แต่จากการลงตลาดซัมเมอร์นี้ เห็นได้ว่า การ์ลอส บูเซโล่ น่าจะรับนโยบายมาจากสโมสรและ โชโล่ ว่าต้องเอาตัวสดๆเข้ามา แข้งใหม่จึงอยู่ในเรต 21-23 ปีเป็นส่วนใหญ่
การปล่อยนักเตะอายุเกิน 30 ออกไป 5-6 คน แรกทีเดียวเพียงเข้าใจว่าแค่ต้องการลดอายุเฉลี่ยของทีมลง แต่เวลานี้เริ่มเก็ตแล้วว่า โชโล่ จะกลับมาเล่นในแบบเดือนเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอีกครั้ง
เกมกับ เอลเช่ นั้นชัดเจน ทีมโอเวอร์โหลดนักเตะขึ้นสูงในทุกตำแหน่ง บีบพื้นที่ในแดนกลาง เพื่อไม่ให้ลูกทีมของ เอเดร์ ซาราเบีย มีเวลาคิด
แต่วิธีการเล่นที่หายไปนานนี้เห็นได้ชัดว่านักเตะใหม่ยังปรับตัวได้ไม่ดี หรือแม้กระทั่งนักเตะยุคปัจจุบันก็ยังทำไม่ถึง เกมจึงยังมีช่องว่าง เหลือพื้นที่ให้ ผู้เล่นเอลเช่ ดิ้นหลุดไปได้
และจะบอกว่าซวยก็ได้ จังหวะที่เพรสแล้วช่วง เอลเช่ แก้ออกมาได้ครั้งแรก มันดันกลายเป็นประตูทันที
แอต.มาดริด โอเวอร์โหลดผู้เล่นเข้ารุมปิดพื้นที่ในจังหวะนั้น แต่ฝั่งทีมเยือนวางข้ามทีเดียว มาถึงพื้นที่แดน 3 อัลบาโร่ เด็กเก่ามาดริดเอาบอลลงสมบูรณ์แบบ ก่อนจ่ายให้ ราฟา มีร์ สังหารเข้าไป
จากนั้น เอลเช่ ก็ไม่มีโอกาสอีกเลย แอตเลติโก คุมเกมไว้ได้ บีบ ตัดบอล เอากลับไปบุก แต่การตัดสินใจในพื้นที่สุดท้ายไม่เด็ดขาด
จ่ายขาด จ่ายเกิน ครั้นพอได้ยิงก็พลาดง่ายๆ
ส่วนนึงต้องให้เครดิตกับ เอลเช่ ของ ซาราเบีย ว่ามาสู้ได้ดี ทำให้ แอตเลติโก ไม่เจอกับเกมง่าย แต่อีกส่วนนึงก็ต้องโทษตัวเองที่ผิดพลาดไปหมดทั้งๆที่มีโอกาสมากกว่า
ถามว่า แอตเลติโก ตอนนี้เป็นยังไง ส่วนตัวมองว่า พวกเขากำลังปรับเกมตามวิธีการของ โชโล่ อยู่ แต่ยังไม่ลงล็อค ซึ่งดูแล้วอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักเลย เพราะมันเกิดขึ้นพอดีในช่วงการเปลี่ยนถ่าย
เหมือนเอาทั้งทีมเข้าห้องผ่าตัดใหม่ ใช้ยาแรง แรกๆอะไรก็ดูติดขัดไปหมด แพ้ทีมเล็ก เจ๊า ทีมน้องใหม่ แต่ใช่ว่าจะหมดหวัง
มันยังเร็วไปที่จะคิดแบบนั้น ยี่ห้อโชโล่มาตราฐานไม่ต่ำอย่างนั้น อย่างน้อยๆ ทรัพยากรอยู่ในมือครบแล้ว ฟุตบอลดีๆสามารถเกิดขึ้นได้แน่ หากแต่ต้องอาศัยระยะเวลาและการทำงานหนัก
#เจมส์ลาลีกา