ศึกชิงยูโรปา ลีก 2025 ระหว่าง สเปอร์ส กับ แมนยู คืนวันที่ 21 พ.ค. ที่บิลเบา คือเกมเดิมพันศักดิ์ศรี-ตั๋ว UCL กับโอกาสกู้หน้าซีซั่นพัง เร้ดเดวิลส์ได้แข้งหลักคืนทัพ ส่วนไก่พิการขาดตัวหลักเพียบ
แมนยู และ สเปอร์ส ทำผลงานได้น่าอเนจอนาถในพรีเมียร์ลีก โดยพวกเขาแพ้ยับไม่นับญาติ 18 กับ 21 เกม ทำให้ทั้งสองทีมหล่นไปอยู่อันดับ 16 และ 17 ตามลำดับ ซึ่งแน่นอนว่าฟอร์มแบบนี้สร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลของพวกเขาอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม "ผีแดง" กับ "ไก่เดือยทอง" ยังพอที่จะมีโอกาสกอบกู้ฤดูกาลของพวกเขา จากการทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ เกมยูโรปา ลีก นอกจากนี้ชัยชนะในแมตช์ดังกล่าวยังทำให้ทีมได้โบนัสก้อนโต คว้าสิทธิ์ไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าด้วย
ดังนั้นเกมที่สนามซาน มาเมส ในเมืองบิลเบา ประเทศสเปน วันพุธที่ 21 พฤษภาคมนี้ จึงมีความหมายอย่างยิ่งกับทั้ง 2 ทีม และพวกเขาต้องทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อนำความสำเร็จมามอบให้กับแฟนบอลเพื่อเรียกศรัทธากลับคืนมา
1. คีย์แมนผีคืนทัพทันเวลา
ต้องยอมรับว่า แมนยูไนเต็ด โชคดีจริงๆ สำหรับเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก เพราะบรรดานักเตะคีย์แมนสำคัญค่อยๆ ทะยอยกลับมาฟิตสมบูรณ์ และพร้อมลงสนามเพื่อช่วยต้นสังกัดในแมตช์สำคัญนี้
ค็อบบี้ เมนู, อาหมัด ดิยัลโล่ และ เมสัน เมาท์ มีโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องหลังหายเจ็บกลับมาช่วยทีมช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนมีส่วนนำต้นสังกัดทะลุเข้ารอบชิงได้อย่างสุดยอด
ล่าสุด ดีโอโก้ ดาโลต์, เลนี่ โยโร่ และ โจชัว เซิร์กซี ก็หายเจ็บเรียบร้อยแล้ว และมีชื่ออยู่ใน 26 ขุมพลที่เดินทางไปดินแดนกระทิงดุ นั่นหมายความว่า อโมริม มีออปชั่นให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย และทำให้แท็กติกของเขามีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ด้วยสถิติที่สุดยอดในฤดูกาลนี้สำหรับการเล่นในยูโรปา โดย แมนยู ยังไม่เคยแพ้เลย (ชนะ 9 เสมอ 5) ซึ่งเป็นทีมเดียวในยุโรปที่ทำได้ และยิงประตู, ครองบอล และผ่านบอลแม่นยำสุดในถ้วยใบนี้ แถมยังได้ผู้เล่นคีย์แมนกลับมาช่วยทีมหลายคน งานนี้บอกเลยว่า สเปอร์ส มีหงอยแน่นอน
2. ไก่พิการอาการหนัก
แมนยู มีนักเตะคีย์แมนคืนทัพหลายคน สวนทางกับ สเปอร์ส ที่ผู้เล่นตัวหลักหมดสิทธิ์ลงสนามแน่นอนหลายราย นั่นทำให้พวกเขาค่อนข้างเป็นรอง "ปีศาจแดง" พอสมควรในเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก
ผู้เล่นอย่าง เดยัน คูลูเซฟสกี้, เจมส์ แมดดิสัน, ลูคัส เบิร์กวัลล์ และ ราดู ดรากูซิน ไม่สามารถลงสนามในแมตช์สำคัญได้ ซึ่งผู้เล่นทั้งสี่คนมีความหมายกับ "ไก่เดือยทอง" มากๆ และพวกเขามีส่วนในการช่วยทีมปราบ "ผีแดง" 3 เกม ( 2 เกมในลีก และ คาราบาว คัพ) ในฤดูกาลนี้
การที่ สเปอร์ส ขาด คูลูเซฟสกี้ และ แมดดิสัน ถือว่าเสียหายมากๆ เพราะนั่นทำให้เกมรุกของทีมไม่ไหลลื่น เพราะหากพวกเขามีสองแข้งนี้อยู่กับทีม บอกได้เลยว่ามีโอกาสสร้างความอันตรายให้กับแนวรับ "เร้ด เดวิลส์" แน่นอน
ดังนั้น แอนจ์ ปอสเตโคกลู ต้องเจอกับงานหนักในการปรับแท็กติกเพื่อให้เหมาะกับขุมกำลังที่มีอยู่ในมือ และถ้าหากเขาอยากก้าวขึ้นมาเป็นยอดโค้ชต้องสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้
3. ลบล้างซีซั่นอนาถ-ชิงตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก
ผลงานในพรีเมียร์ลีกของ แมนยู และ สเปอร์ส ต้องบอกเลยว่าน่าผิดหวังสิ้นดี เพราะพวกเขาหล่นไปอยู่ในโซนรอดตาย และแฟนบอลของทั้งสองทีมไม่เคยเห็นสถานการณ์ของทีมรักของพวกเขาต้องย่ำแย่ขนาดนี้
ความพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งแบบเป็นกอบเป็นกำในลีกของ แมนยู และ สเปอร์ส แทบจะไม่มีให้เห็นบ่อยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ใครจะไปคิดว่า "ปีศาจแดง" จะแพ้ถึง 18 เกม แถมเละคาบ้าน 9 เกม และยังมีลุ้นสร้างสถิติอัปยศใหม่หากแพ้อีกนัดสุดท้ายใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ส่วน "ไก่เดือยทอง" ก็ย่ำแย่ไม่แพ้กันโดยพวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 17 ซึ่งอยู่เหนือโซนตกชั้นแค่อันดับเดียวเท่านั้น พร้อทั้งแพ้ในลีกไปถึง 21 เกม และโดนคู่แข่งเจาะตาข่ายเป็นว่าเล่นจำนวน 61 ประตูเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในเกมนัดชิงซึ่งตัดสินกันแค่เกมเดียวเท่านั้น แฟนบอลทั้ง 2 สโมสรต้องลืมฟอร์มที่น่าอเนจอนาถของทีมรักไปให้หมด และหนุนใจต้นสังกัดของตัวเองอย่างเต็มที่
ที่สำคัญแชมป์รายการนี้จะทำให้ทีมใดทีมหนึ่งได้ตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า และสามารถลบล้างซีซั่นที่แสนเลวร้ายของพวกเขาได้
4. แชมป์แรกของ สเปอร์ ในรอบ 17 ปี
หนึ่งในแรงจูงใจที่สำคัญมากของ สเปอร์ส ก็คือการนำความสำเร็จมอบให้กับแฟนบอลของพวกเขา ซึ่งไม่ได้เห็นโทรฟี่แชมป์มานานถึง 17 ปี และนี่เป็นสิ่งที่นักเตะทุกคนอยากทำให้ได้
ความสำเร็จครั้งล่าสุดของ สเปอร์ส เกิดขึ้นเมื่อปี 2008 โดยคว้าแชมป์ ลีก คัพ หรือ คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน และหลังจากนั้นพวกเขาก็มีลุ้นความสำเร็จ แต่เป็นได้แค่พระรองเมื่อแพ้นัดชิง คาราบาว คัพ ฤดูกาล 2020/2021 และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2018/2019
นอกจากนี้หากทีมประสบความสำเร็จ จะทำให้ ซน ฮึง-มิน ได้สัมผัสแชมป์แรกในระดับสโมสร หลังเพื่อนซี้ของเขาอย่าง แฮร์รี่ เคน ปลดล็อกได้สำเร็จจากการช่วย บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี ในฤดูกาลนี้
ยิ่งไปกว่านั้นการได้แชมป์ยูโรปา ลีก ยังเป็นการตอกหน้า อาร์เซน่อล ทีมคู่อาฆาตร่วมกรุงลอนดอน ที่กินแห้วในทุกรายการ และจะทำให้สาวกน้องไก่ได้ลืมตาอ้าปาก หลังโดนเด็กปืนล้อมาตลอด
5. เดบิวต์ อโมริม ด้วยโทรฟี่ยูโรปา
การมาของ อโมริม จะทำให้แมนยูมีลุ้นความสำเร็จ !! วลีนี้ไม่เกินจริงๆ เพราะพวกเขามีโอกาสได้ชูโทรฟี่แชมป์รายการแรกสำหรับการเดบิวต์ของ นายใหญ่ชาวโปรตุกีส ในซีซั่นนี้
กุนซือมาดพี่เจ๋ง เข้ามารับงานต่อจาก เอริค เทน ฮาก ในช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยเขาสามารถค่อยๆ แก้ปัญหาของทีม แม้ผลงานในลีกจะย่ำแย่จนแฟนผีโปรเจกต์ไม่อยากดูตารางคะแนนในพรีเมียร์ลีก แต่บนเวทียุโรปทีมยังโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด
อโมริม กลายเป็นกุนซือ "ผีแดง" รายที่สองต่อจาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่พาทีมเข้าถึงรอบชิงฟุตบอลถ้วยยุโรปได้ในฤดูกาลแรกที่เข้ามาทำงาน แต่ "เฮียมู" สามารถไปสุดท้ายด้วยการคว้าแชมป์ ส่วน นายใหญ่เคราเข้ม ต้องลุ้นว่าจะทำได้หรือเปล่า !!
หาก อโมริม สามารถนำทีมคว้าแชมป์ได้ มันจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับการสร้างทีมเพื่อสานต่อความสำเร็จ แต่หากไม่สำเร็จมันอาจจะเป็นจุดหักเหที่ทำให้สโมสรต้องเริ่มคิดเกี่ยวกับอนาคตของกุนซือรายนี้
TOMMY TEE.