ลิเวอร์พูล สุดคมถล่มจ่าฝูงเช็ก "ดาร์วิน" จัดลูกที่พันให้เจเค

ยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมเกมแรก "จ่าฝูง" ปะทะ "จ่าฝูง"

สปาร์ตา ปราก "จ่าฝูง" ลีกเมืองเช็ก เจอ ลิเวอร์พูล "จ่าฝูง" พรีเมียร์ลีก

ก่อนเข้าเรื่องมีนักเตะ สปาร์ต้า ปราก คนหนึ่งมาเป็นนักเตะลิเวอร์พูล 

เขาคือใครกัน???

ใครไม่ได้ชมเกมนี้....ตามเพจ  JACKIE มาครับ

1. บอลไฮเพรสซิ่งเจอกัน

สปาร์ต้า ปราก คุมทีมโดย ไบรอัน พริสเก้ อดีตแบ๊กขวาทีมชาติเดนมาร์กวัย 46 ปี ที่ครั้งหนึ่งคุมทีมมิดเทลันด์ พบ ลิเวอร์พูล ในชปล. รอบแบ่งกลุ่ม ซีซั่น 2020-21 นี่คือทีมที่เล่นบอลไฮเพรสซิงดุดัน มีลูกหนักแถม นั่นจึงไม่แปลกที่สถิติ ใบแดงทีมนี้ไม่น้อยทีเดียว

ก่อนเจอหงส์แดง เปรซิอาโด้ วิงแบ๊กขวา โดนไล่ออกนัดเตะดาร์บี้ แมตช์ กับ สลาเวีย ปราก (เสมอ0-0)

พริสเก้ เล่นระบบ 3-4-3

ประตู ; วินดาห์ล

3 เซนเตอร์ ;  จากขวาไปซ้าย โซเรนเซน, วิติค, ครายชี

2 วิงแบ๊ก ; ขวา เปรซิอาโด ซ้าย เซเลนี

2 มิดฟิลด์คู่กลาง ; โซลบัคเคน-ไคริเนน

3 ตัวทำ ; บีร์มานเชวิช, คุชต้า และ ฮาราสลิน 

สองดาวซัลโวของทีมที่ไม่ใช่ศูนย์หน้า บีร์มานเชวิช และ ฮาราสลิน ลงสนามพร้อมกัน ถือว่าเต็มทีม มีเปลี่ยนจากสุดสัปดาห์ที่แล้วสามคน

ส่วนJK พัก เฟอร์จิล ฟานไดจ์ และ คอร์เนอร์ แบรดลีย์ และใส่ชื่อ โม ซาลาห์ สำรอง

นอกนั้นก็จัดชุดเต็มๆที่มีอยู่ตอนนี้ 

เคลเลเฮอร์ ; โกเมซ, ควอนซาห์, โกนาเต้, ร็อบโบ้ ; เอนโด, เอลเลียตต์, แม็คก้า ; ดิอาซ,ดาร์วิน, กัคโป

สถิติบอกว่า  JK จัด11 คนแรกแบบไม่ซ้ำกันครั้งที่ 230 ทุกรายการมากกว่าทุกทีมในพรีเมียร์ลีก แม้กระทั่ง แมนฯซิตี้ (179 ครั้ง) 

สองทีมนี้เล่นบอลไฮเพรสซิงเหมือนกัน จึงเปิดฉากด้วยการไล่กดดันหน้ากรอบเขตโทษ จังหวะ บิลด์ อัพ ขึ้นมา ซึ่งฝั่ง สปาร์ตา ปราก พลาดก่อน เกือบโดนลงโทษ ดีแต่ว่า ดาร์วิน ยิงแป้กระยะ 6 หลา ขณะที่ลิเวอร์พูล เน้นการแก้เพรสด้วยการให้ เคลเลเฮอร์ เปิดบอลยาวข้ามไลน์กองหลัง ส.ปราก 

จากการไล่เพรสแดนบนนี่แหละที่ทำให้หงส์ชิงจังหวะนำก่อน เมื่อแม็คก้า ถึงบอลก่อน ในจังหวะที่ โซเรนเซน จับบอลในเขตโทษแล้วพยายามพลิกเล่น หันหน้ามาเจอ แม็คก้าฉกบอลได้ รีบเตะโดนข้อเท้าร่วงงง ผู้ตัดสินชาวสเปน โฆเซ มาเรีย ซานเชส ชี้จุดโทษ

แม็คก้า ยิงมุมซ้ายมือตัวเอง วินดาห์ล พุ่งไปอีกทาง หงส์นำ 1-0 

2. ยิงกันสนุก.....แต่สปาร์ต้า ไม่คมเอง

ต้องยอมรับว่าทั้งสองฝั่งสร้างโอกาสในการยิงประตูได้พอๆกัน โดยเฉพาะเจ้าบ้านนั้นมีโอกาสที่ดีหลายครั้งในครึ่งแรก แต่ไม่ผ่านมือ ควีวิน เคลเลเฮอร์ แถมยังยิงออกเองง่ายๆ เฉย ทั้งมีโอกาสแล้ว 

คือหลังจากหงส์แดงนำ 1-0 น.6 จากจุดโทษ สปาร์ต้า ปราก สร้างโอกาสทองตลอดครึ่งแรกถึง 4 ครั้ง  โดยเฉพาะช่วงนาทีที่ 15-20  การโจมตีดุดันจากวิงแบ๊กขวาที่มี เปรซิอาโด ใช้ความเร็ว ตลบหลังพื้นที่ ร็อบโบ้ และ ทางซ้าย มีตัวทำด้านซ้าย ฮาราสลิน เล่นงาน โจ โกเมซ

ช่วงนั้นแนวรับหงส์ป่วน....ดีแต่ว่า เคลเลเฮอร์เซฟ, โกเมซ สกัดจากเส้น ,โกนาเต้ ช่วยบล็อค หรือลูกเตะมุมที่ เคลเลเฮอร์ ลอยตัวปัดทิ้งจากลูกโหม่งย้อย 

ถ้าสปาร์ต้า คมๆ น่าจะได้อย่างน้อย 2 ลูก

พอไม่ได้จึงโดนลงโทษจากจังหวะเล่นหน้าไลน์ของหงส์แดง บอลเหมือนไม่มีอะไรกดดัน  น.25 เอลเลียตต์ จ่ายให้ ดาร์วิน จับบอลระยะ 25 หลา ตัดสินใจยิงบอลโค้งฮุคแบบใบไม้ร่วงเสียบใต้คาน วินดาห์ล ถึงกับงงในความยากของลูกนี้ หงส์นำ 2-0  

ตอนนั้นหงส์ยิง 3 เข้ากรอบ2 ได้สองลูก

แม้หงส์นำแต่ สปาร์ต้า ก็มีโอกาสได้ลุ้น จังหวะที่  คุชโต้ ยิงติดเซฟ เคลละเฮอร์ ไปเข้าทางบีรมานเชวิช โล่งๆ คนเดียวแต่ดันสะดุดบอลเสียจังหวะแปออกหลังไปเอง น่า 2-1 ยิ่งนัก

3. ลูกที่ 1,000 ยุคเจอร์เก้น คล็อปป์ 

ประตู 2-0 ของดาร์วิน คือลูกที่ 1,000 ในยุคของ เจอร์เก้น คลอปป์ รวมทุกรายการ 476 เกม 

โดยช่วงห้านาทีท้ายครึ่งแรก กัคโป มีโอกาสยิงแบบเน้นๆ สองครั้ง ติดเซฟ วินดาห์ล พลาดโอกาสน่าเสียดาย ก่อนที่ ดาร์วิน จะโชว์ลูกยาก ได้บอลจาก แม็คก้า ถึงเส้นกรอบโทษ ตวัดยิงเข้าเสาสองสุดคม (น.45+3)

ส่วนตัวของ ดาร์วิน นั้นมีค่าเฉลี่ยในการมีส่วนร่วมให้ทีมได้ประตูทั้งยิงและแอสซิสต์ 85 นาที ทุกรายการ 

⚽️ 15 goals

🅰️ 11 assists

ดาร์วิน นูนเญซ ได้ความมั่นใจมากขึ้น....

หรือว่าต้องยิงลูกยากๆ เท่านั้น อย่าหลุดเดี่ยว 55555

4. เคลเลเฮอร์ เซฟแล้วเซฟเล่า

เรียกว่าแฟนหงส์เป็นห่วงเมื่อไม่มี อลีสซง เบคเกอร์ เฝ้าเสา นับตั้งแต่ลงสนามนั้นต้องใช้คำว่า เซฟแล้วเซฟเล่า ในหลายเกม ตั้งแต่ คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศโน่นแล้ว เขามักจะทำให้คู่แข่งหมดโอกาสได้ประตู ในหลายๆเกม นัดนี้ก็เหมือนกัน อย่างน้อย 4 บิ๊กเซฟ ทำให้ลิเวอร์พูลไม่เสียประตู ส่วนลูกที่ แบรดลีย์ สกัดเข้าประตูตัวเองนั้นก็สุดปัญญาครับ

จากนั้นก็เซฟลูกยิงในจังหวะที่ โกนาเต้ วิ่งกะโผลกกะเผลก ลงมาช่วยไม่ทัน ก่อนโดนเปลี่ยนตัวออก ฟานไดจ์ ลงแทน

ถ้าเคลเลเฮอร์ ไม่เซฟลูกยาก สกอร์อาจออกมา 5-4 ได้เหมือนกัน

จุดนี้ต้องยอมรับความนิ่ง...ไม่ตื่นตระหนก....ตัดสินใจดี...และยืนตำแหน่งของ เคลเลเฮอร์ ว่าดีเยี่ยม

5. ล้างอาถรรพ์รอบน็อคเอาต์ยูโรปา

แม้โดนตีไข่แตกจากจังหวะ แบรดลีย์ ตัวสำรอง ทำเข้าตัวเอง แต่ ลุยส์ ดิอาซ ก็จัดลูก 4 ด้วยการยิงแฉลบเข้าไป 4-1 ก่อนที่ เจเค จะทยอยเปลี่ยนตัว ส่ง ดาวรุ่ง รวมทั้งพักตัวหลัก แถมให้ โม ซาลาห์ ซ้อมก่อนเจอเรือใบ ใช้เวลา 10 นาที หลังโดนเปลี่ยนตัวลงมา รับบอลจาก โซโบ ยิงเข้าไปง่ายๆ แต่  VAR เช็คล้ำหน้า ซาลาห์ เลยไม่ได้ประตู แต่สุดท้าย โซโบสไล ยิงฝังให้ชนะ 5-1 ช่วงทดเวลา 

สำหรับชัยชนะก่อนลงสนามเกมนี้ลิเวอร์พูลไม่ชนะนัดเยือนบอลยูโรปาลีกรอบน็อคเอาต์ 11 เกม เสมอ 4 แพ้ ถึง 7 นับจากชนะ อูนิเรีย อูร์ซิเชนี เมื่อซีซั่น 2009-10  (บุกชนะ 3-1) 

ชัยชนะ....อย่างงดงามนัดแรกทำให้นัดสองที่แอนฟิลด์ ความมกดดันน้อยและเบาพร้อมมุ่งหน้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นใจในการเล่นก่อนเจอแมนฯซิตี้ 

ที่ถือว่าเป็นนัดสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการลุ้นแชมป์ในช่วง 10 นัดสุดท้าย

JACKIE


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : JACKIE
อดิสรณ์ พึ่งยา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport