เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล จัด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงตัวจริง และเล่นจนจบเกมในแมตช์เปิดรัง แอนฟิลด์ ถลุง สปาร์ต้า ปราก 6-1 ศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัด 2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา สกอร์รวมสองตัดถล่มยับไม่นับญาติ 11-2 ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยแมตช์นี้ "บอส" ยังคงไว้วางใจแข้งดาวรุ่งลงสนาม และทุกคนก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม ขณะที่ "บังโม" ยิง 1 แอสซิสต์ 3 แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขากลับมาฟิตสมบูรณ์แล้ว และพร้อมที่จะช่วยทีมในช่วงโค้งสุดท้ายสำหรับการลุ้นแชมป์ทุกรายการในฤดูกาลนี้
1. บังโมสร้างประวัติศาสตร์
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คล็อปป์ เลือก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงเป็นตัวจริง เพราะเขาต้องการให้นักเตะกลับมาจับจังหวะการเล่นได้อย่างเต็มที่เมื่อร่างกายฟิตสมบูรณ์ แต่ที่น่าแปลกก็คือเจ้าตัวเลือกให้เขาอยู่ในสนามจนจบเกม นั่นแสดงให้เห็นว่า "บังโม" กลับมาแข็งแกร่งเต็มร้อยแล้ว !!
ซาลาห์ กลับมาลงสนามด้วยความมั่นใจที่สำคัญเจ้าตัวยังสร้างผลงานสุดยอดจนถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตู รวมทุกรายการอย่างน้อย 20 ลูก ได้ถึง 7 ฤดูกาลติดต่อกัน หลังทำหนึ่งลูกแมตช์ถล่ม สปาร์ต้า ปราก 6-1
นอกจากจะยิงประตูได้อย่างต่อเนื่องแล้ว "คิง ออฟ อียิปต์" ยังแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นอีกด้านนั่นก็คือการช่วยทำประตู โดยเขาทำแฮตทริกแอสซิสต์ในแมตช์ปะทะ สปาร์ต้า ปราก ด้วย นี่เป็นเครื่องการันตีว่านักเตะพร้อมที่จะแบกภาระทั้งยิงและจ่ายให้กับสโมสร
ผลงานชั้นยอดหลังกลับมาลงตัวจริงเป็นครั้งแรกในรอบเดือนกว่าๆ คงทำให้บรรดานักเตะ และสาวก "เดอะ ค็อป" มีความสุขมากๆ เพราะการมี ซาลาห์ อยู่ในสนามมักจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้บ่อยครั้ง
ฉะนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้จนกระทั่งจบฤดูกาล สตาร์จอมตะบันประตูทีมชาติอียิปต์ วัย 31 ปี จะเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล มีความอันตรายในเกมรุกมากขึ้นเป็นทวีคูณ
2. แนวรุกโหดขู่ทุกทีม
ช่วง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา แนวรุกของ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ดูอันตรายมากนักเพราะการขาดหายไปของ ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำให้ โม ซาลาห์ ต้องแบกรับภาระในการยิงประตูเพียงลำพัง
หลุยส์ ดิอาซ แม้จะฟอร์มโดดเด่นมากๆ ในช่วงแรกๆ แต่หลังหายเจ็บกลับมา ดาวเตะชาวโคลอมเบีย ยังไม่สามารถงัดฟอร์มโหดได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ โคดี้ กัคโป กับ ดาร์วิน นูนเญซ ฟอร์มผีเข้าผีออก หาความคงเส้นคงวาไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2023/2024 กัคโป, นูนเญซ และดิอาซ พัฒนาผลงานแบบเขย่งก้าวกระโดด โดยเฉพาะ "น้องนูน" ที่เริ่มเล่นด้วยความมั่นใจ โดย 11 เกมหลังสุดซัดไปแล้ว 9 ประตู และตะบันรวม 17 ประตูในทุกรายการซีซั่นนี้ แม้บางจังหวะเจ้าตัวอาจจะพลาดง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของเขาไปได้เลย
ขณะที่ กัคโป ที่มักจะโดนวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นในช่วงที่ผ่านมา แต่สำหรับแมตช์นี้ ดาวเตะชาวดัตช์ ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมกับตำแหน่งแนวรุกฝั่งซ้าย และมักจะหาพื้นที่ในทำประตูได้เรื่อยๆ โดยจัดการซัดไป 2 ตุง ซึ่งหากคมกว่านี้อาจจะได้แฮตทริกด้วยซ้ำ
ตอนนี้ต้องยอมรับว่าขุมกำลังในแดนหน้าของทีมกำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสุดขีด ดังนั้นทั้ง ดิอาซ, นูนเญซ, กัคโป และ ซาลาห์ ต้องขับเคี่ยวกันเพื่อโอกาสได้ลงตัวจริง นี่ถ้าหาก ดีโอโก้ โชต้า กลับมาฟิตสมบูรณ์ ยิ่งทำให้ คล็อปป์ มีออปชั่นในการวางแท็คติกเพิ่มขึ้นอีก
3. ดาวรุ่งคึกคะนอง
บรรดาหงส์น้อยวัยละอ่อนของ คล็อปป์ ยังคงสร้างผลงานดีมีคุณภาพไม่ทำให้เจ้านายต้องผิดหวัง โดยทุกคนเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม และมีส่วนในการช่วยให้ทีมยิงประตูได้ครึ่งโหลในแมตช์นี้
ควีวิน เคลเลเฮอร์, จาร์เรลล์ ควอนซาห์, คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ และ บ็อบบี้ คล้าร์ก แสดงให้แฟนบอล "หงส์แดง" ได้เห็นแล้วว่าพวกเขาเติบโตมากขึ้นทุกวัน และสามารถลงมาทำหน้าที่แทนรุ่นพี่ได้อย่างยอดเยี่ยม
สำหรับแมตช์นี้ คล้าร์ก โชว์ความกล้าเล่นมากขึ้น ทั้งจังหวะการกระชาก กล้าที่จะเลี้ยงบอลเข้าไปในเขตโทษ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคที่ดีและครองบอลเหนียวแน่น ที่สำคัญยังวิ่งหาพื้นที่ได้ดี ในที่สุดก็ได้รางวัลตอบแทนด้วยการซัดประตูได้อย่างเฉียบคม
นอกจากนี้ตัวสำรองอย่าง มาเตอุสซ์ มูเซียลอฟสกี้ และ เจมส์ แม็คคอนเนลล์ ก็ลงมาแสดงผลงานที่น่าพอใจด้วย แน่นอนว่ายังมีดาวรุ่งในอะคาเดมี่ "เดอะ เร้ดส์" ที่สามารถลงเล่นในช่วงเวลาแบบนี้ได้ ซึ่งนักเตะเหล่านี้คือมรดกสำคัญที่ คล็อปป์ มอบเอาไว้ให้กับสโมสรในการพัฒนาพวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีม
4. เตรียมพร้อมออกศึกแดงเดือด
ถือเป็นการเตรียมความพร้อมได้อย่างดีเยี่ยมสำหรับ ลิเวอร์พูล ในแมตช์ถลุง สปาร์ต้า ปราก 6-1 ที่สนามแอนฟิลด์ โดยรวมสกอร์สองแมตช์ชนะไปอย่างท่วมท้วน 11-2 งานนี้ "หงส์แดง" แสดงการข่มขวัญคู่แข่งว่าพวกเขามีเกมรุกที่โหดขนาดไหน
คล็อปป์ แอนด์ โค. มีคิวต้องทำศึกใหญ่เยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม "แดงเดือด" นอกรอบ ศึกเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ วันอาทิตย์นี้ แน่นอนว่านี่คือแมตช์ที่สำคัญเพราะเป็นเกมศักดิ์ศรี และเป็นการลุ้นเส้นทาง 4 แชมป์
แน่นอนว่าศักยภาพของ สปาร์ต้า ปราก กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ชัยชนะที่มาพร้อมกับการเล่นที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ มันยิ่งทำให้บรรดาขุนพล "หงส์แดง" เต็มไปด้วยความกระหายที่อยากจะบุกไป "โรงละครแห่งความฝัน"
สำหรับ "ผีแดง" ที่เหลือลุ้นความสำเร็จแค่รายการนี้เท่านั้น คงไม่ยอมให้คู่อริตลอดกาลผ่านไปได้ง่ายๆ และพวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะขยันขา ลิเวอร์พูล ไม่ให้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้
แม้สถานการณ์ของทั้งสองทีมจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ด้วยการที่มีศักดิศรีค้ำคองานนี้ แมนฯ ยูฯ และ ลิเวอร์พูล คงใส่กันไฟแล่บ ดังนั้นการที่ "หงส์แดง" คว้าชัยชนะได้อย่างยอดเยี่ยมก่อนแมตช์นี้ ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยที่ดีเยี่ยมจริงๆ
5. เส้นทางประวัติศาสตร์ยังอยู่ต่อไป
ลิเวอร์พูล ได้แชมป์มาประดับตู้โชว์ในแอนฟิลด์แล้ว 1 ใบนั่นก็คือ คาราบาว คัพ เมื่อเดือนที่ผ่านมา แต่บรรดาลูกทีมของ คล็อปป์ ยังคงกระหายที่จะเก็บชัยชนะที่เหลืออยู่อีก 4 รายการให้ได้ เพื่อเป็นการอำลา "บอส" อย่างสมบูรณ์แบบ
โปรแกรมทุกแมตช์ในทุกการแข่งขันของ "หงส์แดง" ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะสานฝันสร้างประวัติศาสตร์ เพราะทุกทีมที่ต้องเจอมีทั้งความแข็งแกร่ง และมุ่งมั่นที่จะสกัดกั้นไม่ให้ ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา
แม้บรรดานักเตะลิเวอร์พูล จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะคว้า 4 แชมป์ก็ตาม แต่ในเมื่อทีมยังคงอยู่ในเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ และนี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ได้ร่วมงานกับ คล็อปป์ ดังนั้นพวกเขาพร้อมสู้ถวายชีวิตเพื่อสร้างเกียรติประวัติให้ "บอส" และเป็นการอำลาอย่างยิ่งใหญ่
ทอมเม้ง