ผลการจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นใจให้ทีมจากอิตาลีมากเลยนะครับ
ฤดูกาลนี้ตัวแทนจากอิตาลีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเวทีนี้ ทั้ง เอซี มิลาน อินเตอร์ มิลาน และ นาโปลี ต่างก็ทะลุเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศกันได้ทั้งหมด
อารมณ์แบบนี้ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลเมืองมะกะโรนีครอบครองความยิ่งใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนต้นทศวรรษ 2000 ที่สองยักษ์ใหญ่เมืองมิลาน และ ยูเวนตุส ต่างแข่งกันทำผลงาน
ปี 2003 มิลานผ่านอินเตอร์ในรอบตัดเชือกเข้าไปชิงกับยูเวนตุสที่เอาชนะ เรอัล มาดริด แชมป์เก่ามาได้ ก่อนที่ทีมปีศาจแดงดำจะชนะดวลเป้าคว้าแชมป์สมัยที่ 6 อย่างสวยงามซึ่งไม่เพียงเป็นความสุดยอดของพวกเขาเองเท่านั้นแต่ยังเป็นการสร้างชื่อให้วงการฟุตบอลอิตาลีในภาพรวมด้วย
ครั้งล่าสุดที่ฟุตบอลอิตาลีผงาดในเวทียุโรปคงต้องย้อนไปในยุคทริปเปิลแชมป์ของอินเตอร์ มิลาน เมื่อปี 2010 นู่นเลยกระมังครับ เพราะหลังจากที่ทีมงูใหญ่ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ประกาศศักดาในคราวนั้นแล้วทีมจากแดนรองเท้าบู้ตก็ไม่เคยได้แชมป์อีกเลย
เต็มที่ก็แค่เข้าชิง อย่างที่ยูเวนตุสของ มัสซิมิลิอาโน่ อัลเลกรี ทำไว้เมื่อปี 2015 และ 2017 ที่สุดท้ายก็แพ้ตัวแทนจากฝั่งสเปนทั้ง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด
ในระยะหลังภาพลักษณ์ของฟุตบอลอิตาลีไม่ได้น่าเกรงขามเหมือนก่อน เวทียุโรปเป็นเรื่องที่ว่ากันแค่ทีมจากลีกอังกฤษบางทีม ทีมจากลีกสเปนบางทีม และทีมจากลีกเยอรมันทีมเดียว
มุมมองของนักวิจารณ์หรือความรู้สึกร่วมของแฟนบอลจะให้น้ำหนักกับทีมอย่าง เรอัล มาดริด บาร์เซโลน่า แอตเลติโก มาดริด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชลซี ลิเวอร์พูล หรือ บาเยิร์น มิวนิค มากกว่า
หรืออาจจะบวก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แห่งฝรั่งเศสเข้าไปอีกทีม
ในกลุ่มนี้แม้ แมนฯ ซิตี้ และ เปแอสเช จะยังไม่เคยได้แชมป์มาก่อน แต่ก็ยังได้รับความคาดหมายเป็นตัวเต็งมากกว่าอดีตแชมป์หลายสมัยทั้งหลายจากอิตาลีอยู่ดี เรียกว่าเครดิตความน่าเชื่อถือของทีมจากอิตาลีแทบไม่เหลือหรอเอาเสียเลย
เอาเข้าจริงในฤดูกาลนี้แม้ทั้งนาโปลี มิลาน และ อินเตอร์ จะฝ่าด่านรอบน็อกเอ๊าต์ด่านแรกเข้ามาสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้ก็จริง แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ถึงเรื่องความยากที่ต้องฝ่าฟันเข้ามา
เพราะคู่ต่อสู้ในรอบที่แล้วไม่ได้อยู่ในระดับมหาอำนาจหรือขาประจำของรายการนี้เลยสักราย นาโปลีเจอไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต มิลานเจอสเปอร์ส และอินเตอร์พบกับเอฟซี ปอร์โต้
แน่นอนความสงสัยย่อมเกิดขึ้นว่าถ้าทั้งสามต้องเจอกับพวกกระดูกขัดมันทั้งหลายจะเอาตัวรอดได้ไหม
คำตอบอาจจะอยู่ในใจแต่มันไม่อาจตัดสินได้ว่าจะเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เราพูดได้อยู่แล้วว่าถ้ามิลานเจอแมนฯ ซิตี้ หรืออินเตอร์ไปเจอบาเยิร์นก็คงไม่รอด แต่ไม่มีอะไรยืนยันว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งถ้ากองเชียร์เนรัซซูรี่กับรอสโซเนรี่จะเถียงก็ย่อมมีสิทธิ์เต็มที่
ความเป็นจริงคือสิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่ ณ เวลานี้ นั่นคือตัวแทนจากอิตาลีดาหน้ากันเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายได้มากกว่าชาติไหนๆ นั่นคือสามทีม หลุดไปก็แค่ยูเวนตุสที่ร่วงตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มแต่ก็ยังทะลุไปเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า ยูโรปา ลีก เช่นกัน
ยุคทองของฟุตบอลอิตาลีกำลังกลับมาอีกครั้งหรือ เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเท่าไหร่หรอกครับเพราะยังพอมองเห็นมาตรฐานที่แตกต่าง ณ เวลานี้พอสมควร แต่อย่างน้อยผลงานที่พวกเขาทำเอาไว้ในเวลานี้ก็น่าจะทำให้คอบอลอิตาลีกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง
การจับสลากที่เป็นใจให้ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แล้วลากยาวไปจนถึงรอบรองชนะเลิศเลย
มองตามสายที่ปรากฏออกมา นี่คือโอกาสทองของพวกเขาที่จะกอบกู้ศรัทธาคืนมาอีกครั้ง
ตัวเต็งของรายการอย่าง บาเยิร์น มิวนิค แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชลซี และ เรอัล มาดริด ไขว้ไปชนกันเองทั้งหมดในสายบน เรือใบสีฟ้าเต็งหนึ่งเจอเสือใต้เต็งสอง แล้วผู้ชนะยังจะเข้าไปเจอกับไม่สิงโตน้ำเงินครามแชมป์สองสมัยก็ราชันชุดขาวแชมป์ 14 สมัย
กว่าจะได้เข้าชิงที่อตาเติร์ก สเตเดี้ยม สายบนก็น่วมชนิดงอมพระราม
การพบกันเองระหว่างนาโปลีกับเอซี มิลาน และการเจอกับ เบนฟิก้า ของ อินเตอร์ มิลาน ทำให้สายล่างดูเบากว่าสายบนมหาศาล แต่อย่างไรก็ตามในเชิงหลักการแล้วเรามองแบบนั้นไม่ได้ เพราะเมื่อมาถึงรอบนี้กันแล้วนั้นทุกทีมล้วนเท่ากันหมด ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าใครเหนือกว่าใครอีกแล้วเมื่อมันผ่านกฎเกณฑ์เรื่องแชมป์กลุ่ม-รองแชมป์กลุ่มจากรอบแบ่งกลุ่มไปแล้ว
ว่ากันตามผลงานที่ผ่านมาในฤดูกาลนี้นาโปลีดูจะมีภาษีดีกว่าใครในสายล่าง พวกเขานำห่างเป็นจ่าฝูงกัลโช่ เซเรีย อา ชนิดที่สามารถจัดงานฉลองรอเอาไว้ได้เลย
19 คะแนนที่ทิ้งอันดับสองอยู่ในเวลานี้ทำให้ทีมปาร์เตโนเปกำลังจะสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 33 ปีด้วยภารกิจที่ง่ายดายเกินคาด คือที่ผ่านมาพยายามแล้วพยายามอีกจนเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่เคยทำสำเร็จ แต่บทจะได้มันก็ได้มาอย่างนิ่มๆ ราวกับเส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เพราะฉะนั้นสมาธิในเกมลีกสามารถถ่ายเทไปที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างเต็มที่
ทางนาโปลีจะคิดอย่างนั้นไหมไม่อาจรู้ได้หรอกนะครับ จะอย่างไรสคูเด็ตโต้ก็น่าจะเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาและการนำห่าง 19 คะแนนก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหย่อนยานอะไรได้ ตรงกันข้ามยังต้องจริงจังทุกเกมต่อไปเหมือนเดิมเพื่อรักษาโมเมนตัมที่ดีเอาไว้
กระนั้นผมค่อนข้างเชื่อว่าเมื่อเกมยุโรปนัดต่อไปมาถึงในเดือนหน้า สถานการณ์ในเซเรีย อา น่าจะผ่อนคลายลงไปมากกว่านี้อีกมากด้วยความสม่ำเสมอของคู่ต่อสู้นาโปลีมีน้อยจริงๆ และ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ก็น่าจะสามารถจัดทีมชนิดที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุดในเวทียุโรปได้
แต่กระนั้นก็ห้ามประมาทประสบการณ์ในเวทีนี้ของมิลานเป็นอันขาด ภาพที่ออกมาในเกมสองนัดที่ซาน ซิโร่ และ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า สเตเดี้ยม อาจเป็นอีกภาพแตกต่างไปจากเกมลีกก็ได้
บริษัทรับพนันถูกกฎหมายหลายเจ้ายกให้นาโปลีเป็นเต็งสามรองจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ บาเยิร์น มิวนิค แต่อยู่เหนือ เชลซี และ เรอัล มาดริด ก็ด้วยผลการประกบคู่และการแบ่งสายบน-ล่างในรอบต่อไปนี่ล่ะครับ
มันคือบททดสอบของนาโปลีเช่นกัน..
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีลุ้นอะไรเลยในเวทียูโรเปี้ยน คัพ ในสองครั้งที่ได้เข้าไปเล่นในฐานะแชมป์อิตาลียุคที่ยังมี ดีเอโก้ มาราโดน่า โลดแล่นอยู่ ครั้งแรกถูก เรอัล มาดริด เขี่ยตกรอบแรก ครั้งที่สองโดน สปาร์ตัก มอสโก ดีดตกรอบสอง
พอมาเป็นยุคยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะแชมป์ลีกเท่านั้น นาโปลีก็มีโอกาสได้มาสัมผัสกับมันอีกเรื่อยๆ แต่ไม่เคยไปถึงดวงดาวเลย กระทั่งรอบตัดเชือกหรือรอบ 8 ทีมสุดท้ายก็ยังไปไม่ถึง ดีที่สุดคือรอบ 16 ทีมสุดท้ายสามครั้งซึ่งแพ้ทีมใหญ่ทั้งหมด เชลซี เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า
โอกาสสร้างชื่อของแต่ละทีมจากอิตาลีมาถึงแล้วนะครับ อย่างน้อยๆ พวกเขาการันตีพื้นที่หนึ่งทีมแน่นอนแล้วในรอบรองชนะเลิศ นี่ถ้าปล่อยให้หนึ่งเดียวจากโปตุเกสที่ยังเหลืออยู่ในรายการอย่างเบนฟิก้าตีตั๋วไปอิสตันบูลแทนได้ก็ต้องเรียกมาเขกกะโหลกเรียงทีมเลยจริงๆ
ตังกุย