เกือบหลับแต่กลับเข้าชิง! เจาะ 6 ประเด็นเดือด เรอัล มาดริด คว่ำ บาเยิร์น มิวนิค

เรอัล มาดริด โชว์ความเก๋าในการพลิกนรกกลับมาคว่ำ บาเยิร์น มิวนิค ได้อย่างสุดยอดด้วยสกอร์ 2-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ เลกสอง เมื่อวันพุธที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา สกอร์รวมสองนัดชนะ 4-3 ทะลุเข้ารอบชิงไปพบกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่สนามเวมบลีย์ วันเสาร์ที่ 1 มิ.ย.นี้ โดยแมตช์นี้ต้องยอมรับว่ามีเหตุการณ์มากมายที่น่าสนใจทั้งการกลับมาชนะได้อย่างน่าเหลือเชื่อของ "ราชันชุดขาว" ทั้งๆ ที่จะแพ้อยู่แล้ว รวมทั้งประเด็นล้ำหน้าในนาทีสุดท้ายของการทดเวลาบาดเจ็บ และความยิ่งใหญ่ของ คาร์โล อันเชลอตติ กับทัวร์นาเมนต์ "บิ๊กเอียร์" ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะได้ชื่อว่าเป็น "มิสเตอร์แชมเปี้ยนส์ ลีก"

1. แมตช์สถิติที่น่าจดจำของ "อันเช่"

คาร์โล อันเชลอตติ สร้างประวัติหน้าใหม่ให้กับวงการโค้ชเมื่อเขาทำหน้าที่กุมบังเหียนสโมสรฟุตบอลลงฟาดแข้งในศึกยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จำนวน 203 แมตช์แซงหน้า เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"อันเช่" ประสบความสำเร็จมากมายมหาศาลในการกุมบังเหียนโดยเฉพาะในถ้วยใบโตยุโรป เมื่อเขาสามารถคว้าแชมป์รายการนี้ 4 สมัยกับ เอซี มิลาน 2 สมัย (2003 และ 2007) และ เรอัล มาดริด (2014 และ 2022) มากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนัง

ยังไม่หมดแค่นั้น เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน สามารถนำต้นสังกัดทั้ง เอซี มิลาน ( 2003, 2005, 2007)  และ เรอัล มาดริด (2014, 2022, 2024) ทะลุเข้ารอบชิงโทรฟี่ "หูกาง" มากที่สุดถึง 6  ครั้ง ดังนั้นคงไม่ผิดถ้าจะยก อันเชลอตติ คือหนึ่งในกุนซือที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลในวงการฟุตบอล 

ทำเนียบกุนซือที่คุมทีมมากที่สุดในยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

คาร์โล อันเชลอตติ : 203 เกม

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน : 202 เกม

อาร์แซน เวนเกอร์ : 109 เกม

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า : 171 เกม

โชเซ่ มูรินโญ่ : 151 เกม

มีร์เซีย ลูเชสคู : 115 เกม

ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ : 105 เกม

เจอร์เก้น คล็อปป์ : 102 เกม

มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี : 100 เกม

อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ : 97 เกม 

2. ฝันร้าย นอยเออร์ 

แมตช์นี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเพอร์เฟกต์สำหรับ มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูชาวเยอรมัน ที่สร้างผลงานได้อย่างสุดยอด โดยเฉพาะการป้องกันจังหวะสำคัญได้อย่างน่าเหลือเชื่อตลอด 87 นาทีแต่ทุกอย่างต้องพังทลายจากความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว !

นายทวารจอมเก๋า วัย 38 ปี เล่นฟอร์มฟอร์มที่ยอดเยี่ยมอย่างมากเมื่อเขาเซฟจังหวะอันตรายได้ถึง 5 ครั้ง ซึ่งทำให้ทีมรอดจากเสียประตูได้อย่างน่าเหนือเชื่อ และดูเหมือนทุกอย่างจะเข้าทาง นอยเออร์ ไปหมด

อย่างไรก็ตามเหมือนฟ้าชังสวรรค์แกล้ง เพราะความยอดเยี่ยมทั้งหมดต้องมลายหายสิ้นตอนที่เหลือเวลาแค่ 2 นาที เมื่อ นอยเออร์ ทำผิดพลาดมหันต์ตั้งแต่จังหวะขว้างบอลยาวไม่ดีโดนตัดได้บริเวณครึ่งสนาม ไปจนถึงการรับบอลซองแตกจนทำให้ โฆเซลู วิ่งมาซ้ำตีเสมอ 1-1 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

จากนั้นโมเมนตัมทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตรทันที และ "ราชันชุดขาว" ก็เดินเครื่องบดขยี้หมายจะเอาชัยชนะให้ได้ภายในเวลาปกติ และก็มาประสบความสำเร็จในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 90+1 จาก โฆเซลู คนดีคนเดิม

แมตช์นี้ต้องบอกว่าเกมนี้มี 2 ความรู้สึกจาก 2 นักเตะ โดยคนแรก โฆเซลู ที่สวมบทซูเปอร์ซับหลังถูกเปลี่ยนลงมาในช่วง 10 นาทีสุดท้าย พร้อมสัมผัสบอล 10 ครั้งยิงตรงกรอบ 2 ครั้งและเป็น 2 ประตู ! ส่วนคนดวงแตกก็คือ นอยเออร์ ที่เกือบจะเป็นพระเอกอยู่แล้วแต่สุดท้ายการเป็นผู้ (โชค) ร้ายแทน 

3. ทูเคิ่ล กับสถิติที่ บาเยิร์น ไม่ต้องการ

โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามาคุม บาเยิร์น มิวนิค เมื่อกลางฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมกับนำทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา โดยเขาทำให้แฟนบอล "เสือใต้" วาดฝันถึงความสำเร็จที่จะพรั่งพรูเข้ามาสู่ถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า

อย่างไรก็ตามฝันดังกล่าวต้องพังทลาย เพราะ ทูเคิ่ล ไม่สามารถสร้าง บาเยิร์น ให้แข็งแกร่งได้ ทั้งๆ ที่ทีมมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งในลีก โดยเฉพาะในแนวรุกที่ได้ แฮร์รี่ เคน ทำหน้าที่กระซวกตาข่าย

ผลงานของ ยอดทีมแห่งแคว้นบาวาเรีย ต้องกินแห้วในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี และเดเอฟเบ โพคาล ขณะที่ในแชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาก้าวเท้าเข้ารอบชิงไปแล้วข้างหนึ่ง แต่สุดท้ายต้องผิดหวัง

ตอนนี้ ทูเคิ่ล ได้จารึกชื่ออยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นกุนซือที่นำ บาเยิร์น จบฤดูกาลโดยปราศจากโทรฟี่แชมป์เป็นครึ่งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2011/2012 

4.  จู๊ด ดวลทีมเก่า, เคน ราชันไร้มงกุฎ 

ต้องยอมรับว่านี่คือปีทองสำหรับ จู๊ด เบลลิงแฮม อย่างแท้จริง โดยผลงานของเขาโดดเด่นกับ เรอัล มาดริด อย่างมากนับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่กับ "โลส บลังโกส" เพราะเขามีส่วนสำคัญในความสำเร็จของทีมในฤดูกาลนี้

สตาร์ทีมชาติอังกฤษ วัยเพียง 20 ปีเท่านั้น แต่ผลงานโดดเด่นเหลือเกินโดยเขาซัดไปถึง 18 ประตูในเกมลีกสูงสุดแดนกระทิงดุในซีซั่นแรก พร้อมกับคว้าแชมป์มาครอบครอง ขณะเดียวกับ "หนูจู๊ด" ยังซัดประตูรวมในทุกรายการให้กับต้นสังกัดถึง 22 ลูกเลยทีเดียว

การนำ เรอัล มาดริด ทะลุเข้าสู่รอบชิงถ้วยใบโตยุโรปถือว่ามีน่าสนใจสำหรับ เบลลิงแฮม อย่างมาก เพราะเขาจะได้พบกับ "เสือเหลือง"โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้นสังกัดเก่าซึ่งเขาสร้างผลงานเอาไว้ได้อย่างสุดยอดด้วยการซัดไป 24 ประตูจาก 132 เกมในทุกรายการ พร้อมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล เมื่อซีซั่น 2020/2021 

อย่างไรก็ตามเมื่อหันมาดูรุ่นพี่ร่วมทีมชาติอังกฤษอย่าง แฮร์รี่ เคน หลายคนคงรู้สึกผิดหวังไปกับเขา เพราะเจ้าตัวอุตส่าห์ย้ายหนี สเปอร์ส มาเล่นกับ บาเยิร์น เพื่อหวังจะได้แชมป์มาประดับเกียรติยศ แต่ซีซั่นแรกของเขากับต้นสังกัดดันต้องกินแห้วเรียบวุธ !

เคน อาจมีสถิติส่วนตัวที่ยอดเยี่ยมมากๆ กับ บาเยิร์น เมื่อซัดไปถึง 36 ประตูจาก 32 เกมในลีกคว้าดาวซัลโวบุนเดสลีกาแน่นอน ส่วนในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซัดไป 8 ประตูนำดาวซัลโวร่วมกับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ถ้าหากไม่เกิดอาเพศอะไรก็คงได้รางวัลรองเท้าทองคำปลอบใจ

ตอนนี้หลายคนมักจะพูดว่า เคน เป็นนักเตะที่อาภัพความสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะขนาดย้ายไปอยู่กับทีมที่การันตีแชมป์มาตลอดหลายสิบปี เจ้าตัวก็ยังกินแห้ว และมันคงจะเป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดหากเขาต้องกลายเป็น "ราชันไร้มงกุฎ" แบบนี้  

5.  สี่แข้งลุ้นสร้างตำนานกับ "ราชัน"  

สำหรับคู่ชิงระหว่าง เรอัล มาดริด พบ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่สนามเวมบลีย์ วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายนนี้ มีประเด็นที่ต้องพูดถึงอย่างมากสำหรับ 4 นักเตะกำลังสำคัญของ "ราชันชุดขาว" เพราะพวกเขามีลุ้นคว้าแชมป์ "บิ๊กเอียร์" สมัยที่ 6 

โทนี่ โครส, ดานี่ การ์บาฆาล, ลูก้า โมดริช และ นาโช่ มีชื่อคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 5 สมัย (โครส ได้แชมป์กับ บาเยิร์น 1 สมัย) ถ้าหากพวกเขาสามารถปราบ "เสือเหลือง" ที่เมืองหลวงผู้ดีได้จะทำสถิติเทียบเท่า ปาโก เคนโต้ ตำนานยอดแข้งผู้ล่วงลับของ เรอัล มาดริด

เรอัล มาดริด ถึงเป็นเจ้าพ่อทัวร์นาเมนต์นี้อย่างแท้จริงๆ โดยฤดูกาลนี้เป็นการเข้าชิงสมัยที่ 18 (ยูโรเปี้ยน คัพและ แชมเปี้ยนส์ ลีก) และคว้าแชมป์ไปถึง 14 ครั้ง ที่สำคัญยังเป็นการเข้าชิงครั้งที่ 6 ในรอบ 10 ปี แถม 5 ครั้งก่อนหน้านั้นคว้าแชมป์เรียบวุธ

งานนี้โอกาสที่ทั้งสี่คนจะประสบความสำเร็จ เพราะจากสถิติของ "ราชันชุดขาว" ค่อนข้างสวยหรูเหลือเกิน แต่ก็อย่าประมาท ดอร์ทมุนด์ เพราะพวกเขาเคยสร้างความมหัศจรรย์มาแล้วเมื่อปี 1997 ที่คว่ำ ยูเวนตุส ยอดทีมในยุคนั้น 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ดอร์ทมุนด์ อาจจะรู้สึกหลอนๆ ก็คือสังเวียนแข้งเวมบลีย์ เคยทำให้พวกเขาต้องน้ำตาตกในการชิงชัยแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อพ่ายแพ้ให้กับ บาเยิร์น ในปี 2013 

6. ดราม่าจังหวะล้ำหน้า 

หนึ่งในประเด็นที่ต้องมีการถกเถียงอย่างมากในแมตช์นี้คงหนีไม่พ้นจังหวะล้ำหน้าน่ากังขาในช่วงนาทีที่ 90+13 เพราะมันถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจทำให้สถานการณ์ต่างๆ อาจพลิกผันได้เลย

จังหวะนั้น บาเยิร์น เปิดบอลเข้าไปลุ้นทำประตูและ มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์  ได้ซัดเต็มข้อบอลพุ่งเข้าซุกก้นตาข่าย แต่ผู้ตัดสินปฏิเสธที่จะให้ประตูเนื่องจากการเป่าหยุดเกมเพราะไลน์แมนยกธงล้ำหน้า 

งานนี้นักเตะและทีมงานบาเยิร์นประท้วงกันยกใหญ่ เพราะต้องการให้ผู้ตัดสินเช็ควีเออาร์ แต่สุดท้ายไม่มีการเช็คอะไรทั้งนั้น ทำให้ "เสือใต้" เสียประโยชน์เต็ม เพราะเมื่อมองจากภาพรีเพลย์เห็นได้ชัดว่าไม่ล้ำหน้า ! 

ที่สำคัญทั้ง โธมัส ทูเคิ่ล และ เดอ ลิกต์ ก็ออกมายืนยันว่าไลน์แมนยอมรับถึงความผิดพลาดในจังหวะนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ และต้องทำใจยอมรับความเจ็บปวดในครั้งนี้

ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport