เป็นอีกเกมในซีซั่นนี้ที่ ลิเวอร์พูล เสียประตูให้กับคู่แข่งก่อน แต่สุดท้ายพวกเขาก็พลิกสถานการณ์รัวกระสุนแซงเข้าวินได้สำเร็จโดยในเกม ยูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดแรกบุกมาเยือน แอลเอเอสเค เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. หงส์แดง หนีไม่พ้นตาข่ายขาดก่อนอีกตามเคย แต่พะยี่ห้อ "เร้ด แมชีน" แล้วมีหรือที่พวกเขาจะตกเป็นฝ่ายปราชัย
และในที่สุด "เครื่องจักรสีแดง" ก็ดาหน้ากระทุ้งสามประตูรวดในครึ่งหลังจาก ดาร์วิน นูนเญซ , หลุยส์ ดิอาซ และ โม ซาลาห์ แซงชนะทีมจาก ออสเตรีย ได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยสกอร์ 3-1 เก็บสามแต้มเต็มกลับเมอร์ซีย์ไซด์ได้ตามความคาดหมาย
1. หงส์โรเตชั่นยกชุด
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือทีม ลิเวอร์พูล ตัดสินใจเปลี่ยนขุนศึกทั้ง 11 ตำแหน่งจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปสยบ วูล์ฟส์ 3-1 เมื่อสุดสัปดาห์โดยส่ง ไรอัน กราเฟนแบร์ก มิดฟิลด์ตัวใหม่ประเดิมสนามหลังคว้าสตาร์ทีมชาติ ฮอลแลนด์ มาจาก บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงซัมเมอร์
นอกจากนี้ เบน โด๊ค ดาวรุ่งของทีมก็ได้ลงบู๊เป็นตัวจริงนัดแรก พร้อมรั้งตำแหน่งนักเตะอายุน้อยที่สุดลำดับสี่ของสโมสรที่ได้สัมผัสกับฟุตบอลถ้วยยุโรปในวัย 17 ปี 314 วัน ขณะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งติดโทษแบนในเกมลีกเมืองผู้ดีสามารถลงบู๊ได้ตามปกติ และสวมบทกัปตัน
กระนั้นก็ดี นายใหญ่ชาวเยอรมันทำเซอร์ไพรส์ส่ง สเตฟาน บายเซติช กองกลางวัย 18 ปีที่ฟิตสมบูรณ์แล้วลงเล่นเป็นแบ็คขวาสำหรับการลงบู๊เกมแรกในซีซั่นนี้ของเขา
2. ไม่เสียประตูก่อนไม่ใช่หงส์
กลายเป็นภาพชินตาไปซะแล้วสำหรับ ลิเวอร์พูล ยามนี้ที่ไม่ว่าจะดวลกับทีมไหนพวกเขาเป็นอันต้องเสียประตูให้คู่แข่งก่อนทุกทีไป
สำหรับเกมบุกมาเยือน แอลเอเอสเค หงส์แดง ตาข่ายขาดตั้งแต่นาทีที่ 14 จากลูกเตะมุมด้านซ้ายของเจ้าบ้านซึ่งน่าจะเป็นลูกซ้อมเนื่องจากมีการสาดบอลมาหน้าเขตโทษให้ ฟลอเรียน เฟล็คเคอร์ แต่งหนึ่งจังหวะก่อนตะบันผ่าน ควีวิน เคลเลเฮอร์ เข้าประตูอย่างงดงาม
ฉะนั้นแล้ว ทีมของ คล็อปป์ จึงตกเป็นรองฝ่ายตรงข้ามก่อนเป็นเกมที่สี่แล้วจากห้านัดหลัง และนับจากนั้นทีมจาก พรีเมียร์ลีก ก็ไม่อาจทวงประตูคืนได้กระทั่งจบครึ่งแรกซึ่งสถิติชี้ว่า เร้ด แมชีน ครองบอลเหนือกว่าอื้อซ่า 71:29% แต่ทั้งสองทีมมีโอกาสเช็กบิลพอกันโดยเจ้าบ้านได้ส่อง 5 ครั้งเข้ากรอบ 1 ครั้งขณะที่ทีมเยือนได้ลองเข่น 6 ครั้ง และเข้ากรอบ 1 ครั้งเช่นกัน
3. คล็อปป์ โชว์กึ๋นพลิกสถานการณ์อีก
แม้จะตกเป็นรอง แต่ ลิเวอร์พูล ก็ไม่เสียขวัญเนื่องจากพวกเขาน่าจะชินกับสถานการณ์ที่ว่านี้อย่างดิบดีแล้ว และผ่านมา 56 นาที สกอร์ก็เปลี่ยนเป็น 1-1 จากการสังหารลูกโทษของ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งแน่นอนว่านับจากนั้นเกมก็ตกเป็นของทีมเยือนอย่างเต็มตัว
จนในที่สุด หงส์แดง เป็นฝ่ายแซงนำจนได้ในนาทีที่ 63 จากจังหวะที่ กราเฟนแบร์ก ทะยานขึ้นกราบขวาแล้วปาดบอลมาหน้าปากประตูให้ หลุยส์ ดิอาซ เข้าฮอสไม่เหลือโดยก่อนหน้านี้ไม่นาน คล็อปป์ เพิ่งเปลี่ยนสามตัวสำรองลงบู๊ทั้ง โดมินิก โซโบซไล , โจ โกเมซ และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ได้ลงเล่นแทน โด๊ค , วาตารุ เอ็นโด และ บายเซติช
เท่านั้นไม่พอ แอลเอเอสเค แทบหมดโอกาสลุ้นแบ่งแต้มเลยก็ว่าได้หลังกุนซือด๊อยทช์เรียกใช้บริการ โม ซาลาห์ ลงสนามในนาทีที่ 74 หลังจาก กราเฟนแบร์ก เดินกระเผลกออกไปซึ่งการมีดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ โลดแล่นอยู่ในสังเวียนแข้งก็ยิ่งทำให้ทีมลูกหนังของ ออสเตรีย มีแต่จะเสียประตูเพิ่มมากกว่าตีเสมอ
กระทั่งก่อนหมดเวลาสองนาที ซาลาห์ ก็ซัดลูกตอกฝาโลงส่ง แอลเอเอสเค ขึ้นสู่เมรุการันตีชัยชนะให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จโดยประตูนี้นับเป็นประตูที่ 42 ของดาวยิงสัญชาติมัมมี่วัย 31 ปีในถ้วยยุโรปแล้วซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของนักเตะที่สังกัดสโมสรในเมืองผู้ดีเทียบเท่ากับที่ เธียร์รี่ อองรี อดีตกองหน้าทีมชาติ ฝรั่งเศส ทำได้ให้กับ อาร์เซน่อล
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ บังโม เหนือกว่า ตีตี้ ก็คือเขาใช้เวลาสร้างสถิตินี้กับ ลิเวอร์พูล แค่ 67 นัดขณะที่พี่แหนมของเราต้องลงเล่นมากกว่าถึง 81 นัด
หลังจบ 90 นาที สถิติฟ้องว่าทีมเยือนเหนือกว่าหลายขุมแม้จะครองบอลได้น้อยลงในอัตรา 67:33% แต่พวกเขาหาโอกาสสับไกได้มากกว่าชัดเจนรวม 14 ครั้ง และเข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่ แอลเอเอสเค ได้ลุ้น 7 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง
4. เจเค สร้างสถิติ
ในที่สุด คล็อปป์ ก็ไม่พลาดสร้างสถิติเป็นกุนซือ ลิเวอร์พูล ที่พาทีมกำชัยชนะในถ้วยยุโรปได้มากที่สุดครบครึ่งร้อยนัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนเกมบุกมาบู๊กับ แอลเอเอสเค กุนซือชาวเมืองไส้กรอกมีผลงานในด้านนี้ 49 นัดเทียบเท่ากับ ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตผู้จัดการทีมชาวสแปนิชของรั้ว แอนฟิลด์ พอดี แต่เป็นไปตามคาดที่ คล็อปป์ สามารถแซงหน้า "เอล บอส" ได้สำเร็จแม้ ลิเวอร์พูล จะตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนก็ตาม
และที่สำคัญ เชื่อว่าน่าจะมีคนโค่นสถิติที่ว่านี้ของ คล็อปป์ ได้ลำบากเนื่องจาก ลิเวอร์พูล ส่อเค้าเพิ่มสถิติในด้านนี้ได้มากขึ้นไปอีกเนื่องจากฟอร์มในช่วงนี้ของพวกเขากำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสุดขีดดังจะเห็นว่าหลายต่อหลายเกมที่เสียประตูให้กับคู่แข่งก่อน เร้ด แมชีน สามารถแซงชนะคว้าชัยชนะได้เสมอ อีกทั้ง เจเค ยืนยันเป็นมั่นเหมาะแล้วว่าไม่มีแผนอำลาทีมไปกุมบังเหียนทีมชาติ เยอรมัน จึงแน่นอนว่าเขาจะอยู่กับทีมเพื่อพา หงส์แดง สยายปีกกวาดชัยชนะเพิ่มมากขึ้นไปอีก
5. ผลงานของ แอลเอเอสเค กับทีมจากอังกฤษ
ลิเวอร์พูล ไม่เคยดวลกับ แอลเอเอสเค มาก่อน ฉะนั้นแล้วทีมจาก แอนฟิลด์ จึงชิงคว้าชัยชนะเหนือทีมจาก ออสเตรีย ได้ก่อนในการบู๊กันครั้งแรก
ขณะเดียวกัน หงส์แดง ก็ไม่ทำให้เสียชื่อทีมจากอิงแลนด์เนื่องจากก่อนหน้านี้ แอลเอเอสเค เคยปะทะกับทีมจาก อังกฤษ สี่หน และพวกเขาไม่เคยคว้าชัยได้เลย ดังนั้นมันจึงถูกสานต่อเป็นเกมที่ห้าแล้วที่พวกเขาไม่อาจคว่ำทีมจาก พรีเมียร์ลีก ได้
สำหรับสี่เกมก่อนหน้านี้ แอลเอเอสเค เคยฟัดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด สองนัดในถ้วยใบนี้รอบ 16 ทีมซีซั่น 2019/20 และแพ้ ผีแดง ทั้งสองนัดคาบ้าน 5-0 และบุกไปแพ้ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีก 2-1
จากนั้น แอลเอเอสเค เคยฟาดเกือกกับ สเปอร์ส ในรายการนี้เช่นกันซีซั่น 2020/21 และไม่อาจกำชัยได้เช่นเดิมโดยพวกเขาบุกไปแพ้ที่ลอนดอน 3-0 ก่อนกลับมาเล่นในบ้านเสมอกับ ไก่เดือยทอง 3-3