แดงเดือดหนนี้ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ต่างจากครั้งแรก

ก่อนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้สัมผัสเกมแดงเดือดครั้งแรกในชีวิตตอนเดือนมกราคม ปี 2016 เขาเคยให้คำนิยามถึงเกมนี้ว่าเป็นเหมือน "ซุปรสเค็ม" (the salt in the soup)

แล้วท้ายที่สุด คล็อปป์ ก็ไม่ได้สัมผัสรสชาติอันหอมหวาน เพราะประตูของ เวย์น รูนี่ย์ ที่เกิดขึ้นนาที 78 ทำให้ ลิเวอร์พูล แพ้คา แอนฟิลด์ 0-1 และเป็นการแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริตลอดกาลแบบไป-กลับสองฤดูกาลติดต่อกัน

นัดนั้น สตีเว่น คอลเกอร์ กองหลังตัวยืมถูกเปลี่ยนลงมาเล่นกองหน้าขัดตาทัพ หลังเพิ่งย้ายมาได้แค่ 5 วันก่อนจาก ควีนส์พาร์ด เรนเจอร์ส

"เราแพ้เกมที่ไม่ควรจะแพ้" นี่คือคำให้สัมภาษณ์ของ คล็อปป์ ในตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ปราชัยในเกมแดงเดือดครั้งแรก

เพราะนับตั้งแต่ บ็อบ เพรสลี่ย์ เมื่อปี 1975 ไม่มีกุนซือ ลิเวอร์พูล คนใดเลยที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการคุมทีมนัดแรกได้ 

อย่างไรก็ตาม 8 ปีผ่านไป สถานการณ์ของสองสโมสรยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแข่งขันกันที่ แอนฟิลด์

การมาเยือนย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ของ ยูไนเต็ด พลิกจากที่ ลิเวอร์พูล ต้องลุ้นเหนื่อย มาเป็นเกมแห่งความสุขของเจ้าถิ่น เพราะนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2016 เป็นต้นมา ยูไนเต็ด ไม่เคยชนะแม้แต่ครั้งเดียวใน 8 นัดจากทุกรายการที่มาเยือน

หนสุดท้ายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถบุกไปชนะ ลิเวอร์พูล ได้นานติดต่อกันแบบนี้ต้องย้อนไปถึงช่วงทศวรรษ 1970 แถมในจำนวน 8 เกมที่ว่า ยูไนเต็ด ทำประตูไม่ได้ถึง 7 หน

ประตูเดียวของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบมากกว่า 12 ชั่วโมงกับการเล่นที่ แอนฟิลด์ นับตั้งแต่ประตูของ รูนี่ย์ ก็คือลูกตีเสมอในช่วงครึ่งแรกจาก เจสซี่ ลินการ์ด เมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปี 2018 ที่สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ไป 1-3 

วันนั้นเป็นวันแห่งความสุขของเจ้าถิ่นเพราะพวกเขาได้ประตูในช่วงท้ายเกม 2 ลูกจากตัวสำรองอย่าง เซอร์ดาน ชากิรี่ โดยที่เหล่า เดอะ ค็อป ร้องเพลงช่วงท้ายเกมด้วยว่า  “Don’t sack Mourinho”  แต่ ยูไนเต็ด ไม่ได้ทำตาม เพราะกุนซือชาวโปรตุกีสโดนเด้งในอีก 48 ชั่วโมงต่อมา

เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำผลงานบนสนามไม่ดี ความพ่ายแพ้แบบยับเยินที่ แอนฟิลด์ ของพวกเขาก็รุนแรงขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุด

ชัยชนะ 4-0 ของ ลิเวอร์พูล ในช่วงเดือนเมษายน ปี 2022 ทำให้ ราล์ฟ รังนิก ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนั้นถึงกับบอกว่า "ลิเวอร์พูล นำหน้าเราไปถึง 6 ปี" 

ส่วน รอย คีน อดีตกัปตันทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ดูเกมอยู่จากสตูดิโอของ สกายสปอร์ตส์ ในฐานะนักวิเคราะห์ก็บอกว่าทีมเก่าของเขา "ไม่มีความเป็นผู้นำ, บุคลิกที่ดี, ใจนักสู้ และความมุ่งมั่นเลย"

แต่เกมนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการเจอกันที่ เมอร์ซี่ย์ไซด์ ล่าสุด 

ชัยชนะ 7-0 ถือเป็นชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์เกมแดงเดือด ทำลายสถิติเดิมที่ ลิเวอร์พูล เคยถล่ม นิวตัน ฮีธ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์ 7-1 เมื่อปี 1895 รวมถึงเป็นการทาบสถิติความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วย

สิ่งที่น่าทึ่งมากกว่าเดิมสำหรับเกมเมื่้อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด มีอันดับในลีกดีกว่า ลิเวอร์พูล

ตอนนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในอันดับ 3 มีแต้มมากกว่า ลิเวอร์พูล ที่รั้งอันดับ 6 อยู่ 10 คะแนน แถม 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้นเพิ่งได้แชมป์ คาราบาว คัพ มาหมาด ๆ 

ถึงกระนั้น ชัยชนะ 7-0 ดังกล่าว คล็อปป์ บอกว่ามันไม่ใช่ผลที่จะเกิดขึ้นได้อีก มันอาจจะเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิต และถ้าจะมีใครที่ได้รับผลประโยชน์ในเกมถัดไปที่ต้องเจอกันมันก็คือทีมที่แพ้ 0-7 ไม่ใช่ทีมที่ชนะ 7-0

จากมุมมองของนักเตะนั้น ผลงานที่เลวร้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้แทบไม่ได้เปลี่ยนมุมมองที่พวกเขามีต่อเกมนี้เลย 

พวกเขารู้ดีว่ามันมีอะไรเป็นเดิมพัน และแม้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะกำลังเจอกับช่วงวิกฤติ แต่นี่ยังเป็นหนึ่งในเกมที่หลายคนตั้งตารอมากที่สุด 

สำหรับสเกาเซอร์สอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ เคอร์ติส โจนส์ นี่เป็นเกมที่สำคัญกับพวกเขามาก ๆ เพราะพวกเขาเติบโตมาจากอะคาเดมี่ของทีมโดยตรง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มักจะเก็บฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองเอาไว้ใช้เวลาเจอกับ ยูไนเต็ด อยู่เสมอ 

ดาวเตะชาวอียิปต์ทำผลงานได้โดดเด่นจากบรรยากาศที่เร่าร้อน 

เขารู้ดีว่าการเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด มันมีความหมายต่อแฟนบอล และนั่นทำให้เขามักเป็นตัวแสบที่สุดสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด

ซาลาห์ ทำได้ 12 ประตูจากการลงเล่น 12 นัดในเกมแดงเดือด ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่เขายิงใส่ได้มากที่สุด 

ไม่มีนักเตะ ลิเวอร์พูล คนไหนอีกแล้วที่เจาะตาข่าย แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากกว่าเขา โดยอันดับ 2 คือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ยิงได้ 9 ลูก

ทุกสถิติมันสื่อให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล เป็นต่อสุด ๆ

พวกเขาชนะเกมเหย้าครบทั้ง 7 นัดกับการลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ โดยที่ยิงได้รวมกันถึง 21 ประตู และเสียไปเพียง 5 ลูก

ในทางตรงกันข้าม ยูไนเต็ด ซึ่งเพิ่งจบศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นอันดับสุดท้ายจนไม่ได้สิทธิ์เล่นแม้กระทั่ง ยูโรปา ลีก 

พวกเขาไม่ชนะเกมเยือนทีมที่อยู่ใน 8 อันดับแรกของ พรีเมียร์ลีก มา 13 นัดติดต่อกันแล้ว (เสมอ 3 แพ้ 10 ) ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทำแบบนั้นได้คือวันที่บุกไปชนะ สเปอร์ส เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2021

แถมนอกจากจะมีนักเตะได้รับบาดเจ็บมากมายก่ายกอง เกมนี้ ยูไนเต็ดยังหมดสิทธิ์ใช้งาน บรูโน่ แฟร์นันด์ส กองกลางกัปตันทีมอีกจากการที่เขาติดโทษแบน

"ซุปรสเค็ม" ของ คล็อปป์ กลายเป็นอาหารที่มีรสชาติอร่อยขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาได้ชิมมันครั้งแรกเมื่อปี 2016

เรียบเรียงจาก The Athletic

HOSSALONSO


ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport